เมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยระดับชั้นปริญญาตรีสาขาวรรณกรรมสำหรับเด็กได้อ่านหนังสืออยู่เล่มนึงซึ่งสั่งซื้อมาจากเว็บไซต์ amazon.com นั่นก็คือเรื่อง The Witch Must Die The Hidden Meaning of Fairy Tales เขียนโดย Sheldon Cashdan ซึ่งพูดถึงความหมายต่าง ๆที่ซ่อนอยู่ในเทพนิยายที่เราเคยอ่านตอนเป็นเด็ก
#ไปค้นแล้วเจอภาพตัวเองเคยถ่ายเอาไว้เมื่อสมัยเรียน
หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเชิงวิชาการที่เราอ่านจบแบบเต็ม ๆ เล่มแรกเลยก็ว่าได้เพราะเป็นงานที่เขียนสนุกทำให้นึกถึงวัยเด็กสมัยที่ชอบอ่านพวกเทพนิยาย
เมื่อไม่นานมานี้มีประเด็นที่พูดถึงมากมายเกี่ยวกับการนำนิทานเรื่องสโนไวท์มาสร้างใหม่เป็นภาพยนตร์ซึ่งทำให้เรากลับมาสนใจเทพนิยายเรื่องนี้ที่เคยหลงรักเมื่อสมัยเด็กๆอีกครั้งและนึกย้อนไปสมัยที่อ่านหนังสือที่วิเคราะห์นิทานเรื่องนี้จึงอยากเอามาแบ่งปันให้กับคนอื่น ๆได้รู้ด้วยเพราะว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีแปลเป็นภาษาไทยเราคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจและอยากให้คนอื่น ๆได้ลองร่วมคิดและวิเคราะห์ไปด้วยกัน
ในหนังสือเล่มนี้วิเคราะห์เกี่ยวกับเทพนิยายมากมายแต่ในบทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องสโนไวท์ที่มีในหนังสือเล่มนี้เท่านั้น
“กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี"
แทบจะไม่มีเด็กคนไหนไม่เคยได้ยินประโยคนี้ซึ่งถ้าได้ยินประโยคนี้ก็ต้องนึกถึงเรื่องสโนไวท์แน่นอน
ประโยคดังกล่าวไม่ใช่เพียงคำถามธรรมดา แต่คือสัญลักษณ์ของการขอการรับรองจากภายนอก เป็นเสียงสะท้อนของคนที่ไม่สามารถตัดสินคุณค่าของตนเองจากภายในได้
ราชินีแม่เลี้ยงใน Snow White ไม่ได้เป็นเพียงคนชั่วที่อิจฉานางเอก แต่คือภาพแทนของ “ด้านมืดแห่งตัวตน” — ตัวตนที่ถูกผลักไสจากการยึดมั่นในความงามและสถานะทางสังคม ความงามจึงกลายเป็นทั้งโล่ป้องกันและอาวุธทำลายชีวิตผู้อื่น
แต่สิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นคือ Snow White เองก็ไม่ใช่ตัวแทนของความบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์
เธอยอมรับหวี เชือกรัดตัว และแอปเปิลอาบยาพิษ
(หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ apple อาบยาพิษแต่ว่าในความเป็นจริงแล้วนิทานต้นฉบับแม่เลี้ยงที่ปลอมตัวมาหวังทำร้ายสโนไวท์ถึง 3 ครั้ง ) แม้รู้ว่ามีบางอย่างผิดแปลก เพียงเพราะความงามของของเหล่านั้นช่างล่อตาล่อใจเกินต้าน
อย่างไรก็ตามทั้งสองตัวละคร — แม่เลี้ยงและสโนว์ไวท์ — ต่างเป็นสองขั้วของอัตลักษณ์เดียวกัน
กล่าวคือ แม่เลี้ยง = ภายนอกงามสง่า แต่ภายในเต็มไปด้วยพิษร้าย
ส่วนสโนว์ไวท์ = ภายนอกไร้เดียงสา แต่มีความต้องการยอมรับและหลงใหลในความงามไม่แพ้กัน
นั่นหมายความว่านี่คือการต่อสู้ภายในของตัว “เด็กหญิง” ผู้หนึ่ง กับเงาด้านมืดของตนเอง
เมื่อแผนการของราชินีสำเร็จและสโนว์ไวท์ตายด้วยพิษแอปเปิล โลกภายนอกในนิทานหยุดนิ่งราวกับเพื่อรอคอย “ร่างงามที่ไร้ชีวิต” ตามต้นฉบับนิทานได้มีการบรรยายไว้ว่า
คนแคระไม่สามารถฝังเธอได้ เพราะเธอยัง “งดงามจนเกินไป”
จึงนำเธอใส่ไว้ใน “โลงแก้ว” โปร่งใสให้โลกภายนอกได้ชื่นชม
ซึ่งถ้าหากพวกเราพิจารณาดี ๆ จะเห็นว่า ฉากนี้ไม่ใช่แค่ฉากเศร้าซึ้ง แต่เป็นสัญลักษณ์อันรุนแรงของวัฒนธรรมที่ทำให้ผู้หญิง “กลายเป็นวัตถุ” — สวยงาม แต่ไร้เสียง ไม่มีอำนาจ ไม่มีการตัดสินใจ ไม่สามารถเคลื่อนไหว ไม่สามารถเลือก ไม่สามารถเอ่ยได้แม้แต่คำเดียว
ในความนิ่งงันแห่งความงามนั้น สโนว์ไวท์ไม่ได้ “นอนหลับ” อย่างเจ้าหญิงในนิทานอื่น ๆ — แต่เธอ “ตายไปแล้ว”
แต่เพราะความงามยังคงอยู่ เธอจึงยังถูกเก็บรักษาไว้ ราวกับเครื่องตกแต่งหรูหรา
การมาของเจ้าชายไม่ได้มาด้วยความรู้จัก ไม่ได้มาด้วยผูกพันหรือสนิทมักคุ้น ไม่ได้มาด้วยการเข้าใจตัวตนของเธอ เขาเพียง…
“ตกหลุมรักร่างของเธอที่อยู่ในโลงแก้ว”
และขอที่จะ “นำศพเธอกลับไป” เพื่อครอบครอง
จากตรงนี้อาจชี้ให้เห็นว่าทนี่คือรูปแบบหนึ่งของ ความรักที่ถูกลดรูปเหลือแค่ความหลงใหลในรูปลักษณ์ ไม่ใช่ความรักในฐานะปัจเจกบุคคลที่มีชีวิตและจิตใจ
และที่สะเทือนใจยิ่งกว่าคือ —
สโนว์ไวท์กลับฟื้นขึ้นมา “ด้วยอุบัติเหตุ” จากคนใช้ที่สะดุดโลงทำให้ชิ้นแอปเปิลหลุดจากคอ ไม่ใช่ด้วยจุมพิตแห่งรักแท้ (เรามักมีภาพจำว่าสโนไวท์ฟื้นขึ้นจากจุมพิตของเจ้าชายด้วยการสร้างของดิสนีย์ ซึ่งในต้นฉบับนิทานไม่ได้มีฉากนั้นแต่อย่างใด)
เทพนิยายเรื่องสโนไวท์กำลังตั้งคำถามว่า
“ความงาม” ที่เราหลงใหลนั้นมีค่าเพียงใด
ถ้าสุดท้ายแล้ว มันนำไปสู่สถานะของ “ร่างไร้ชีวิตที่ถูกครอบครอง”
Sheldon Cashdan ชวนให้เราคิดว่า มีจุดหนึ่งในนิทานที่ผู้อ่านมักมองข้าม แต่มันคือกุญแจสำคัญในการตีความเชิงจิตวิทยา —
ประโยคที่แม่เลี้ยงกล่าวขณะยื่นแอปเปิลพิษให้สโนว์ไวท์ ตามต้นฉบับนิทานได้กล่าวไว้ว่า
“ขาวดุจหิมะ แดงดุจเลือด ดำดุจไม้มะเกลือ”
ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่ แม่แท้ ๆ ของสโนว์ไวท์ เคยพูดไว้เมื่อตอนต้นเรื่อง ขณะเย็บผ้าและนึกอธิษฐานถึงลูกในอุดมคติ
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ —
Cashdan วิเคราะห์ว่า แม่แท้ ๆ และแม่เลี้ยงคือ สองด้านของแม่คนเดียวกัน
แม่แท้ ๆ = ความรัก ความเมตตา
แม่เลี้ยง = ความคาดหวัง ความควบคุม และแรงผลักดันจาก “ภาพลักษณ์”
สโนว์ไวท์ไม่ได้หนีจากแม่เลี้ยงเพียงอย่างเดียว แต่เธอกำลังเผชิญกับ “เงาของแม่” และ “เงาของตัวเอง”
ในแนวทางจิตวิเคราะห์แบบ self-psychology
แม่เลี้ยงในนิทานจึงไม่ใช่ “บุคคลภายนอก” แต่เป็น แรงกดดันภายในที่เด็กหญิงต้องเรียนรู้จะตระหนักถึงและปลดปล่อยตัวเองจากมัน
ตอนจบของเรื่อง ไม่ใช่เพียงแค่การที่สโนว์ไวท์ฟื้นขึ้นมาและแต่งงานกับเจ้าชาย แต่คือ การที่แม่เลี้ยงถูกลงโทษจนตาย
ในเวอร์ชัน Grimm ราชินีแม่เลี้ยงถูกบังคับให้ใส่รองเท้าเหล็กร้อน ๆ แล้วเต้นจนตาย
เขาอธิบายไว้ว่าสาเหตุที่แม่เลี้ยงต้องตาย เพราะเธอคือตัวแทนของ พลังด้านลบ ในตัวของสโนว์ไวท์ — และของผู้อ่านด้วย
การตายของแม่เลี้ยงจึงเป็นการประกาศชัยชนะของ “ตนที่มีสติรู้” เหนือ “ตนที่หลงภาพภายนอก”
มันไม่ใช่การลงโทษผู้อื่น แต่คือการปล่อยวาง “อัตลักษณ์ปลอม” ที่พาเราหลงทางมาตลอดชีวิตวัยเยาว์
ในหนังสือเล่มนี้ Sheldon Cashdan ได้นำเสนอเสียงสะท้อนจากผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ชื่อ Vivian ซึ่งมีประสบการณ์ชีวิตจริงที่ลึกซึ้งและเจ็บปวดจากการแต่งงานที่ล้มเหลว โดยเฉพาะกับสามีที่ทอดทิ้งเธอหลังจากแต่งงานไม่นาน
Vivian เคยรักนิทาน Snow White เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เธอเคยบอกกับ Cashdan ว่า
“ฉันเคยคิดว่าโลกของ Snow White ในบ้านคนแคระคือความสงบ ความปลอดภัย และการหลีกหนีจากแม่เลี้ยงที่โหดร้าย”
แต่เมื่อเติบโตขึ้น เธอมองเรื่องนี้ต่างไปสิ้นเชิง —
Vivian กล่าวว่า บ้านคนแคระไม่ใช่ที่ปลอดภัย แต่คือการจำนนต่อโครงสร้างของการเป็นหญิงรับใช้
Snow White ไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระ เธอ รับใช้ พวกเขา ซักผ้า ทำกับข้าว ดูแลบ้าน แลกกับที่พักอาศัยและการยอมรับ
“ฉันเห็นตัวเองใน Snow White — เมื่อแต่งงาน ฉันก็ดูแลบ้านและทำทุกอย่างเพื่อให้เขารักฉัน เขาให้ที่พักพิง แต่ไม่ได้ให้ตัวตนของฉัน”
— Vivian กล่าว
Cashdan ยกตัวอย่างนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า นิทานไม่ได้ให้แค่เรื่องเล่า แต่ทำหน้าที่เป็น “กระจกสะท้อนจิตวิญญาณ” ตลอดช่วงวัย ตอนเป็นเด็ก Snow White ดูไร้เดียงสาและน่าสงสาง แต่พอเติบโต เราเริ่มมองเห็นว่าเธอเองก็ ยอมแลกความเป็นตัวตนเพื่อความอยู่รอดและการยอมรับ
Cashdan ยังชวนให้พวกเราคิดอีกว่าว่า คนแคระ คืออุปมาของ “บรรทัดฐานทางสังคม” ที่ดูน่ารักและอ่อนโยน แต่แฝงด้วยความคาดหวังว่า “เด็กหญิงจะต้องน่ารัก เรียบร้อย และเชื่อฟังพร้อมที่จะรับใช้คนอื่น”
คนแคระรักสโนว์ไวท์ ตราบเท่าที่เธอ…
- ทำความสะอาดบ้าน
- ปรุงอาหารร้อน ๆ
- ฟังคำสั่งไม่ดื้อรั้น
“It is not hard to imagine them as gentle tyrants—benevolent perhaps, but tyrants nonetheless.” — Cashdan
Vivian จึงตั้งคำถามว่า
“หาก Snow White ปฏิเสธที่จะทำอาหาร พวกเขาจะยังยอมให้เธออยู่บ้านของพวกเขาไหม”
“หากเธอพูดเสียงดังขึ้น หรือประกาศจุดยืน จะยังเป็น ‘เจ้าหญิงในบ้านคนแคระ’ หรือไม่”
Vivian สรุปว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่การที่ราชินีแม่เลี้ยงตาย — แต่คือการที่ Snow White ตื่นขึ้นจากความตาย เป็นครั้งแรกที่เธอหลุดพ้นจากการอยู่ภายใต้อำนาจของแม่เลี้ยง และจากการเป็น “วัตถุประดับ” ใต้โลงแก้ว การลุกขึ้นมา “มีชีวิต” คือสัญลักษณ์ของการ reclaim ตัวตน ว่า "ไม่ใช่แค่เพราะเจ้าชายมา" แต่เพราะความตายปลอม ๆ (จากแอปเปิลอาบยาพิษ) ทำให้เธอได้ “ตายจากภาพลักษณ์” และ “ฟื้นจากแรงกดดัน”
หากเราจะลองวิเคราะห์ลึกลงไปถึงรากของจิตใจมนุษย์ โดยเน้นว่า Snow White ไม่ได้เป็นแค่นิทานเจ้าหญิงกับแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย หากแต่เป็น บทละครภายในจิตใจ ที่สะท้อนการต่อสู้ของ
“ฉันที่อยากเป็นที่รัก” กับ “ฉันที่กลัวจะถูกทิ้งถ้าไม่สวยพอ”
“เด็กหญิงเรียนรู้ตั้งแต่วัยเล็กว่า ความงามนำมาซึ่งความรัก การยอมรับ และความสนใจ”
— ซึ่งมักมาก่อนความเฉลียวฉลาด ความกล้าหาญ หรือความเป็นตัวของตัวเอง
Cashdan ยกตัวอย่างรายการประกวดความงามของเด็กหญิงวัย 3 ขวบ และสินค้าสำหรับเด็กที่เน้นภาพลักษณ์ภายนอก เช่น ชุดเจ้าหญิง เครื่องสำอาง ของเล่นแต่งหน้า เพื่อเน้นว่า ภาพฝังในจิตใจเรื่อง “ความงามเท่ากับคุณค่า” นั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนที่เด็กจะเขียนชื่อตัวเองได้เสียอีก
ดังนั้น กระจกวิเศษของราชินี จึงไม่ใช่ของแม่เลี้ยงเท่านั้น — แต่มันคือกระจกที่เด็กหญิง ทุกคนในวัฒนธรรมปิตาธิปไตย ถูกบังคับให้ยืนมองอยู่ทุกเช้า
Cashdan ชวนคิดว่าสาเหตุที่เด็ก ๆ รู้สึกกลัวแม่เลี้ยงในนิทาน Snow White อย่างรุนแรง ก็เพราะแม่เลี้ยงเป็น “ภาพเงา” ของบางสิ่งที่อยู่ในตัวพวกเขาเอง
“The evil queen is not only a persecutor. She is a mirror of our own vanity.”
— เธอไม่ได้เป็นแค่ผู้ล่าตัวเอก แต่คือภาพเงาของความหลงตนที่ผู้อ่านพยายามปฏิเสธไม่ยอมรับ
ดังนั้น การที่แม่เลี้ยงต้อง “ตาย” จึงไม่ใช่แค่การลบล้างอันตรายจากภายนอก แต่คือ พิธีกรรมภายในใจ ที่สะท้อนว่า เด็กหญิงได้ตระหนักถึงและเอาชนะด้านมืดในตนเองแล้ว
Cashdan ให้ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของโลงแก้วไว้อย่างน่าสนใจ
โลงแก้ว = วัตถุโปร่งใส เหมือน ภาชนะจัดแสดง
สโนว์ไวท์อยู่ในนั้น “สวยสงบ” แต่ “ไร้เสียง ไร้พลัง ไร้การเลือก”
“She becomes the idealized, untouchable woman. Adored. Possessed. And completely silent.”
ในสังคมที่ยกย่องผู้หญิงที่ “ดูดีและไม่ขัดแย้ง” — โลงแก้วจึงเปรียบเสมือนกับตำแหน่งในชีวิตจริง
ภรรยาที่ดี ลูกสาวที่เชื่อฟัง หญิงสาวที่สวยพอจะมีคุณค่า แต่ไม่มากพอจะต่อต้าน
ตอนที่คนใช้สะดุดทำให้แอปเปิลพิษหลุดจากปากของ Snow White และเธอฟื้นขึ้นมานั้น
Cashdan ชี้ว่านี่คือจุดเปลี่ยนที่ลึกซึ้งที่สุด
“The poison that silenced her is finally expelled. The girl begins to breathe again—not just physically, but spiritually.”
มันคือการที่เด็กหญิง ฟื้นจากความเงียบ
ไม่ใช่แค่มีชีวิตเพื่อแต่งงานกับเจ้าชาย แต่คือการ กลับมามีตัวตนที่สมบูรณ์ แม้เจ้าชายจะเป็นคนพาเธอออกจากโลง แต่การฟื้นตัวของเธอนั้น ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่จากอุบัติเหตุที่เผยให้เห็นพลังของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง — การตื่นรู้
Cashdan ไม่ได้ปฏิเสธตอนจบแบบ “แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
แต่เขาย้ำว่า “ความสุข” ที่แท้จริงในนิทานนี้คือการหลุดพ้นจากพลังของกระจกวิเศษ
เด็กหญิงที่เคยยึดติดกับการเป็นที่ยอมรับเพราะความงาม ได้ผ่านความตาย (แบบสัญลักษณ์) และเกิดใหม่ Snow White คนใหม่ จึงไม่ใช่แค่เจ้าหญิง แต่คือ “มนุษย์ที่กล้าเผชิญด้านมืดของตัวเอง แล้วเดินออกมาจากมัน”
ในมุมมองของ Cashdan ที่มีต่อ Snow White เขามองว่า
“To ensure that the heroine’s vain predilections—as well as those of the reader—are vanquished, the witch must die.”
— และในวินาทีนั้นเอง นิทานจึงกลายเป็นเครื่องมือเยียวยาแห่งจิตใจ ไม่ใช่แค่เครื่องมือสั่งสอนศีลธรรม
สมิทธิ
พุทธมณฑลสาย 4
ทวีวัฒนา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น