วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

Picturebook หนังสือภาพ : บทเรียนที่เรียนรู้มากกว่าแค่เรื่องของเด็ก

Picturebook หนังสือภาพ : บทเรียนที่เรียนรู้มากกว่าแค่เรื่องของเด็ก



บทความโดย  สมิทธิ อินทร์พิทักษ์




         คำว่า  หนังสือภาพ นิทานภาพ หนังสือนิทานภาพ หรือ นิทาน นั้น เป็นคำที่มักเข้าใจว่าหมายถึงสิ่งเดียวกันในตลาดหนังสือสำหรับเด็ก ซึ่งมักหมายถึงหนังสือที่มีภาพและคำควบคู่กันไปในการเล่าเรื่อง อย่างไรก็ดี โลกวิชาการในแวดวงวรรณกรรมสำหรับเด็กนั้น มีข้อถกเถียงอยู่พอสมควรของความหมายของคำดังกล่าว และอะไรกันแน่ที่เป็นธรรมชาติของนิทานภาพหรือผู้อ่านวัยใดที่เป็นเจ้าของวรรณกรรมประเภทนี้โดยแท้จริง จากคำถามดังกล่าว อาจแยกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ได้ดังนี้

                          ๑. คำที่ควรเรียกใช้วรรณกรรมประเภทนี้ ส่วนมากในภาษาอังกฤษมักจะใช้ต่างกันไปในตำราหลาย ๆ เล่ม เช่น Picture book   Picturebook   Picture-book
                          
                         ๒. ธรรมชาติของหนังสือภาพและการเล่าเรื่องของหนังสือภาพเป็นอย่างไร  ประเด็นนี้ทำให้มีคำศัพท์แตกออกไปอีก เช่น หนังสือภาพ หนังสือภาพไร้ตัวอักษร (ซึ่งหนังสือภาพไร้ตัวอักษรนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอีกว่าจะเรียกว่าหนังสือที่ไร้ตัวอักษรได้หรือไม่ เพราะแท้จริงแล้วมีตัวอักษรปรากฏในหนังสือด้วย เช่น ชื่อเรื่อง คำนำ ข้อมูลสำนักพิมพ์ คำอุทิศ ) หนังสือที่มีภาพประกอบ ฯลฯ

                         ๓. กลุ่มผู้อ่านวัยใดที่เป็นเป้าหมายของวรรณกรรมประเภทนี้ เดิมทีความเข้าใจพื้นฐานของผู้คนทั่วไปน่าจะเป็นเด็กเล็ก ๆ จนถึงเด็กประถม แต่นิทานภาพบางเล่มเมื่ออ่านแล้วกลับพบว่าเนื้อหาและศิลปะของภาพประกอบดูลึกซึ้งเกินกว่าที่เด็กจะอ่านและมีแนวโน้มจะสื่อความหมายบางประการให้กับผู้ใหญ่หรือบุคคลทั่วไป เช่น นิทานภาพเรื่อง The Red Tree ของ Shaun Tan  โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับคนที่อยู่ในสภาวะหดหู่ ซึมเศร้า และในท้ายที่สุดก็ได้พบกับความหวัง



หน้าปกหนังสือเรื่อง The Red Tree

      ในหนังสือภาพเล่มนี้มีตัวหนังสือเพียงเล็กน้อย บางหน้ามีแค่เพียงประโยคเดียว ผู้สร้างได้ใช้กลวิธีทางศิลปะในการถ่ายทอดอารมณ์มาสู่ผู้อ่านได้อย่างดีเยี่ยม



ภาพบางส่วนจากในหนังสือ The Red Tree  

                 จากตัวอย่างภาพที่ยกมาจะเห็นได้ว่า มีคำบรรยายประกอบคือ "Darkness overcomes you" หรือ "ความมืดได้เอาชนะคุณ" ภาพที่เล่าเรื่องควบคู่กันแสดงภาพของปลาตัวขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือตัวละครผู้หญิงผมทองซึ่งเป็นตัวละครเอกของเรื่องกำลังเดินก้มหน้าแสดงถึงภาวะความเศร้า หมดหวัง หดหู่ เงาดำขนาดยักษ์ที่โอบล้อมพื้นที่โดยรอบ พร้อมกับตัวละครอื่น ๆ ที่ผู้อ่านไม่สามารถเห็นหน้าได้ มีทั้งหันหลังให้ หันหน้าไปทางอื่น ก้มอ่านหนังสือพิมพ์ สร้างความรู้สึกเพิกเฉย ลำพัง เหงา ให้กับผู้อ่านส่งผลให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้เป็นอย่างดี

               หนังสือภาพเรื่อง  Duck, Death and the Tulip ของ Wolf Erlbruch เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่นำเสนอประเด็นที่ลึกซึ้งและค่อนข้างเคร่งเครียด นั่นคือเรื่องเกี่ยวกับความตาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเด็กมาตั้งแต่ยุคแรก โดย Wolf Erlbruch เสนอเรื่องผ่านมุมมองที่เบาสมอง เรียบง่าย แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะเทือนใจ


ภาพหน้าปกหนังสือภาพเรื่อง Duck, Death and the Tulip

              Duck, Death and the Tulip เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเป็ดที่เริ่มสังเกตเห็นว่าตัวมันกำลังถูกความตายในชุดผ้าคลุมยาวติดตาม 

                                            For a while now ; Duck had had a feeling.
                              "Who are you ? What are you up to, Creeping along behind me ?"

            เป็ดเริ่มรู้สึกกลัวแต่หลังจากลังเลอยู่นาน มันก็เริ่มทำความรู้จักกับความตายและเป็นเพื่อนกัน    ทั้งเป็ดและความตายได้พูดคุยกันถึงเรื่องชีวิตและเรื่องราวหลังความตาย จนในที่สุดสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็มาถึง นั่นคือ เป็ดได้ตายลง  Wolf  Erlbruch ได้นำเสนอภาพการตายนี้อย่างงดงาม มีเสน่ห์และสะเทือนอารมณ์ ผ่านภาษากวีและภาพประกอบที่ส่งผ่านไปยังผู้อ่านอย่างสะเทือนใจ เรียบง่าย ทรงพลัง


 “ความตายลูบขนที่ลู่ไปมาให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเขาก็อุ้มเธอไปที่แม่น้ำสายใหญ่”

              

“เขาวางเธอลงอย่างนุ่มนวลลงบนผิวน้ำ และปล่อยให้เธอไปตามทางของเธอเอง”


              ในนิทานภาพเรื่องนี้เราจะเห็นบางอย่างที่แสนจะพิเศษ คือเราได้เห็นการวางภาพและคำที่ลงตัวอย่างมาก ทำให้นิทานภาพเรื่องนี้เป็นหนังสือที่งดงาม ทุก ๆ อย่างที่บรรจงเลือกมาใส่มีความเหมาะเจาะ แม้กระทั้งสีของพื้นหลังที่เป็นสีขาวนวลโทนงาช้าง การวางฉากที่ไม่เยอะนักประกอบกับการวางคำที่น้อยและลื่นไหลไปกับภาพ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ Duck, Death and the Tulip เป็นประดุจงานศิลปะที่แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องของความหมายและอารมณ์ที่สามารถส่งผ่านสู่ผู้อ่านผ่านความสัมพันธ์กันระหว่างคำและภาพ

               ความสัมพันธ์ระหว่างคำและภาพได้เคยถูกเสนอมาแล้วจากงานศึกษาของนักวิชาการหลาย ๆ คน เช่น Sipe ในเรื่องเรื่อง How Picture Books Works : A Semiotically Framed Theory of Text-Picture Relationships :1998 ซึ่งเสนอไว้หลายทฤษฎีและคนอื่น ๆ  (Golden 1990; Lewis 1996; Nodelman 1988; Nikolajeva และ Scott 2001; Schwarcz 1982) โดยแต่ละทฤษฎีการมีความหลากหลายเกี่ยวกับนิยามของความสัมพันธ์ระหว่างคำและภาพ

Schwarcz เสนอความสัมพันธ์สองแบบของคำและภาพคือความคล้อยตามกันกับความเบี่ยงเบนหรือไม่สอดคล้องกัน เขาอธิบายความกลมกลืนกันซึ่งแสดงถึงความผสาน ที่สมบูรณ์ระหว่างภาพกับคำซึ่งเติมเต็มกันในหลากหลายหนทาง ซึ่งความผสานกลมกลืนที่ Schwarcz กล่าวมานี้ เราสามารถเห็นได้ชัดในนิทานภาพเรื่อง Duck, Death and the Tulip ซึ่งทั้งภาพและคำมีบทบาทในการเล่าเรื่องทั้งคู่ บางครั้งคำเล่าเรื่องนำภาพ แต่บางครั้งภาพก็เล่าเรื่องนำไปมากกว่าคำแต่สร้างความกลมกลืนในระดับองค์รวมได้ นักวิชาการที่ศึกษาด้านนิทานภาพอีกคนคือ Sinp ได้กล่าวว่า “ทั้งคำและภาพประกอบจะไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ หากปราศจากการอยู่ด้วยกัน คำและภาพเป็นความสัมพันธ์ที่สมมาตรกันและมีความสัมพันธ์ในแบบองค์รวม ซึ่งผลดังกล่าวไม่ใช่แค่เพียงการผสมผสานกันเท่านั้น แต่จะต้องเข้าใจถึงการปฏิสัมพันธ์กันของทั้งสองส่วนด้วย” 

ในการพิจารณาการเคียงกันของคำและภาพในหนังสือนิทานภาพนั้น นักวิชาการชื่อว่า Stanton กล่าวว่า “ภาพไม่ใช่เป็นเพียงภาพที่ใช้ประกอบคำ และคำก็ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือที่อธิบายภาพ แต่ทั้งคำและภาพนั้นต่างมีอิสระและความหมายในตัวเอง โดยเมื่อมาปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันก็จะทำให้เกิดผลทางความหมายด้วย” ซึ่งกล่าวนี้สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคำและภาพในหนังสือภาพเรื่อง Duck, Death and the Tulip ได้เป็นอย่างดี  ภาพประกอบของเรื่องนั้นนำเสนอเป็ดและความตาย ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ส่วนคำก็นำเสนอบทสนทนาของทั้งคู่ ซึ่งนี่ช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจ การเล่าเรื่อง การดำเนินไปของเรื่องจากความแตกต่างระหว่างสองสื่อกลางในการเล่าเรื่องคือคำกับภาพได้ อย่างเรียบง่ายแต่มีพลังตรึงใจผู้อ่าน
       
        จากตัวอย่างนิทานภาพทั้งสองเรื่องนั้นแสดงให้เห็นว่า หนังสือภาพมีความลึกซึ้งเกินกว่าระดับของเด็กเล็ก ๆ ทั้งนี้ผู้เขียนบทความก็ไม่ได้ทึกทักเอาเอง แต่มีการศึกษาเชิงวิชาการหลายเล่มที่กล่าวถึงความลึกซึ้งของนิทานภาพซึ่งสามารถกลายมาเป็นวรรณกรรมสำหรับทุกช่วงวัยของอายุได้ เช่น หนังสือเรื่อง Crossover Picturebooks : A Genre for All Ages ในหนังสือชุด Children's Literature and Culture  เขียนโดย Sandra Beckett โดย  Beckett ได้เสนอประเด็นของการข้ามช่วงวัยการอ่านหนังสือภาพเนื่องด้วยธรรมชาติและพัฒนาการของหนังสือภาพที่เปลี่ยนไปทั้งด้านรูปลักษณ์ ลักษณะเนื้อหา และประเด็นที่ลึกซึ้งเกินกว่าเด็กจะเข้าใจ เช่น ประเด็นเรื่องอ่อนไหวหรือมุมมองทางปรัชญา 


ภาพปกจากหนังสือเรื่อง Crossover Picturebooks: A Genre for All Ages


           นอกจากนี้ยังมีการศึกษาหนังสือภาพที่มีเนื้อหาที่เป็นข้อถกเถียงหรือ Challenging and Controversial Picturebooks ในหนังสือเรื่อง Challenging and Controversial Picturebooks: Creative and critical responses to visual texts บรรณาธิการโดย Janet Evans  ซึ่งรวมบทความศึกษาว่าเด็กตอบสนองประเด็นที่ยากหรือประเด็นที่ต้องห้ามเหล่านี้ได้อย่างไร ซึ่งเกือบทุกบทความในเล่มนี้ย้ำเตือนว่า เด็กมีศักยภาพเพียงพอที่รับรู้หรือทำความเข้าใจเรื่องที่ยากได้อย่างสร้างสรรค์ ทำให้ผู้อ่านบทความรู้สึกราวกับว่า ผู้ใหญ่ได้วางกรอบ limit ให้กับเด็กเกินไปทั้ง ๆ ที่เด็กสามารถเรียนรู้ได้เกิน limit นั้น


 ภาพปกหนังสือ Challenging and Controversial Picturebooks: Creative and critical responses to visual texts


       จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการศึกษานิทานภาพ หนังสือภาพสำหรับเด็กเท่านั้น หากมีเวลาว่าง ๆ จะมาเล่าให้ฟังใหม่ ถึงแม้บทความนี้อาจจะยังไม่จบสิ้นสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ดี ย่อมทำให้ผู้อ่านตระหนักได้ว่า หนังสือภาพไม่ใช่เรื่องเด็ก ๆ อย่างชื่อบทความที่ตั้งไว้ Picturebook หนังสือภาพ : บทเรียนที่เรียนรู้มากกว่าแค่เรื่องของเด็ก........ สวัสดี





สมิทธิ  อินทร์พิทักษ์
3/มกราคม/2561




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น