วรรณกรรม เรื่องเล่า ช่วยเปลี่ยนโลกได้จริงไหม

“วรรณกรรม เรื่องเล่า ช่วยเปลี่ยนโลกได้จริงไหม”

John Stephens ราวกับจะกระซิบข้างหูฉันออกมาเลยจาก บท Schemas and Scripts: Cognitive Instruments and the Representation of Cultural Diversity in Children’s Literature ในหนังสือเรื่อง Contemporary Children’s Literature and Film Engaging with Theory


ลองคิดว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งโตมากับเรื่องเล่าที่มีแต่คนผิวขาว ถ้าเขาไม่เคยเห็นตัวละครที่พูดภาษาของแม่เขา
ถ้าเขาไม่เคยเห็นผู้อพยพ หรือคนชายขอบเป็น พระเอกในเรื่องใดเลย

วันหนึ่ง เขาอาจโตขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่า
“ฉันไม่ใช่คนในเรื่องเล่า ฉันไม่สำคัญพอจะถูกเล่า”

John Stephens เริ่มต้นแบบนั้น — ไม่ใช่คำเปรียบเปรยหวือหวา แต่เป็นการบอกว่า “เรื่องเล่า” ไม่ใช่ของเล่น มันคือโครงสร้างบางอย่างในหัวสมองของเรา ที่เรียกว่า “สคีมา” และ “สคริปต์”

ฉันในฐานะครู ฉันเคยนั่งอยู่ในห้องเรียน และเฝ้าดูสคีมาเกิดขึ้นจริง
ฉันเคยได้ยินนักเรียนหรือแม้กระท้่งเพื่อน พูดว่า “ผิวคล้ำดูไม่สะอาดเลย”
ไม่ใช่เพราะเขาเหยียด  แต่เพราะเขาไม่เคยเจออะไรอื่นที่ทำให้รู้ว่า “คล้ำก็เท่” ได้

วันนั้นฉันไม่ได้คิดมากกับคำที่ได้ยิน แต่ฉันกลับเห็นความไม่เป็นธรรมที่โลกไม่ยื่นเรื่องเล่า ประสบการณ์ แนวคิดที่หลากหลายให้เขาเลย
และพอฉันได้อ่านงานของ  Stephens ฉันก็รู้ว่า

เรื่องเล่าคือเครื่องมือฝึกความเข้าใจโลก

Stephens บอกว่าแบบนั้น พร้อมรื้อโครงในหัวเราทีละชั้น  สคีมา ก็คือกรอบความเข้าใจ เช่น “บ้าน = พ่อแม่ + ลูก + หลังคา”
สคริปต์ ก็คือลำดับความคุ้นเคย เช่น “ไปโรงเรียน = ใส่ชุดนักเรียน นั่งแถว ฟังครูพูด”

แต่ถ้าเราบอกเด็กว่า “ครอบครัวที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ หรือมีแต่ยายกับหมา” ก็เป็นบ้านเหมือนกัน  นั่นเท่ากับ เรากำลังรื้อสคีมา   และวรรณกรรมก็ทำแบบนี้ได้  โดยไม่ต้องพูดว่า “เดี๋ยวครูจะสอนให้รู้จักความหลากหลายนะลูก”   แต่วรรณกรรมเล่าเรื่องเด็กที่ชื่อ Ziba ที่หนีสงคราม เด็กชื่อ Omar ที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมของตา
หรือแม้แต่เด็กชายที่ไม่มีบ้าน แต่สร้าง “บ้าน” จากกล่องกระดาษ แล้วเรียนรู้ว่าการแบ่งปันอาจทำให้บ้านนั้นใหญ่ขึ้นกว่าที่คิด

ฉันเคยเอาเรื่อง The Island ไปแลกเปลี่ยนกับนักเรียนซึ่งเป็นเรื่องของชายแปลกหน้าที่ถูกขัง  เด็กบางคนพูดว่า “เขามาโดยไม่ได้รับเชิญ เขาสมควรถูกไล่”
ฉันไม่ได้บอกว่าเขาผิด แต่ถามว่า

“แล้วถ้าเป็นเธอที่หลงมาแทนล่ะ”

เด็กคนนั้นเงียบไปนาน แล้วบอกว่า
 “ผมคงกลัว… แล้วก็เศร้า”

ในนาทีนั้น ฉันไม่ต้องการคะแนนจะอัพโอเน็ตจากเขา หรือใช้รูบริคอะไรมากมายมาเพื่อตัดสิน
แค่เขาพูดคำว่า “กลัว…แล้วก็เศร้า” กับคนที่เขาเคยไม่เข้าใจ ฉันรู้เลยว่า หนังสือเล่มนั้นมันได้ผล และการแลกเปลี่ยนในวันนี้คุ้มค่าแล้ว

Stephens เล่าว่า บางเรื่องไม่ได้แค่เปิดตา  แต่มันเปลี่ยนหัวใจ  อย่างเรื่อง Old Magic ที่เด็กอินโดนีเซียสร้างว่าวมังกรให้คุณตา ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับว่าว ไม่ใช่เรื่องมิตรภาพระหว่างรุ่น

แต่คือการบอกเราว่า ความต่างทางวัฒนธรรมมันไม่ต้อง “ประนีประนอม” เสมอไป 
มันสามารถ “สร้างสิ่งใหม่ร่วมกัน” ได้
และการอยู่ร่วมกันไม่ใช่แค่ไม่ทะเลาะกัน แต่คือ “การลงมือทำสิ่งสวยงามด้วยกัน”

ฉันในฐานะครู  เริ่มมองหาหนังสือที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีกลิ่นของชีวิตจริง   ไม่ใช่เรื่องที่เด็กดีเสมอไป
ไม่ใช่เรื่องที่จบแบบสุข แฮปปี้เอ็นดิ้ง  แต่คือเรื่องที่มีความขัดแย้งเหมือนในชีวิตจริง และให้เด็กเลือกทางของตัวเองในใจโดยไม่ต้องตัดสิน

Stephens ไม่ได้บอกว่าเราควรสอนอะไร
เขาแค่ชวนให้เราถามว่า “เด็กจะมีโอกาสตั้งคำถามกับสิ่งที่เขาเคยเชื่อไหม” และฉัน ในฐานะครูที่กำลังเรียนรู้
ขอเลือกที่จะหยิบหนังสือที่ไม่สมบูรณ์
ที่อาจไม่ตรงกับหลักสูตรเสมอไป แต่ทำให้เด็กคนหนึ่งเงียบลงนิดหนึ่ง คิดนานขึ้นหน่อย
แล้วพูดเบา ๆ ว่า

“ผมไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลยครับ”

แค่นี้ก็พอใจละ 😊

SMITHI 
17 เมษายน 2568

ความคิดเห็น