บทบาทของเราคือการทำให้ “เสียงของหนังสือ” ดังพอที่เด็กคนหนึ่งจะหันมาฟัง และรักการอ่าน

ช่วงสงกรานต์และปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่น่ารื่นรมย์สำหรับชีวิตครู เพราะเป็นช่วงเวลาที่ได้หยุดพักผ่อนและสำหรับเราก็คือได้อ่านหนังสือที่ดองเอาไว้หลายต่อหลายเล่ม  


โดยในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้กลับไปอ่านหนังสือที่เป็นตำราด้านวรรณกรรมสำหรับเด็กคือเรื่อง CHILDREN AS READERS IN CHILDREN’S LITERATURE The power of texts and the importance of reading บรรณาธิการโดย Evelyn Arizpe และ Vivienne Smith  โดยมีหลายบทอยู่แต่เราก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้นจึงอ่านไปแค่บทแรกบทเดียวคือบทของ Maria  Nikolajeva ชื่อบทว่า ‘Everybody knew that books were dangerous’: Cognitivea and affective responses to representation of books and reading โดยเกี่ยวกับการอ่านของเด็กในวรรณกรรมโดยเราจะขอนำมาเรียบเรียงให้ทุกคนเข้าใจได้ง่ายๆดังต่อไปนี้


ซึ่งถ้าแปลชื่อบทเป็นไทยง่ายๆ เลยก็น่าจะประมาณนี้ "ทุกคนต่างรู้ว่าการอ่านกลายเป็นเรื่องอันตราย: ภาพแทนของผู้อ่านในวรรณกรรมสำหรับเด็ก"

ในโลกของวรรณกรรมที่ออกแบบมาสำหรับเด็กและเยาวชน เรามักเชื่อโดยไม่ต้องตั้งคำถามว่า “หนังสือ” คือสื่อที่ดี เป็นประตูสู่ปัญญา และเป็นมิตรแท้ของเด็กๆ ทว่าในบทความของ Maria Nikolajeva ที่ชื่อว่า “Everybody knew that books were dangerous” ผู้เขียนได้เขย่าความเชื่อนี้อย่างถึงราก เธอเชิญชวนให้เรามองวรรณกรรมเยาวชนด้วยสายตาใหม่ ถามคำถามเก่าด้วยน้ำเสียงใหม่ และชี้ให้เห็นว่า “การอ่าน” นั้นมิได้ถูกแทนค่าในฐานะ ‘คุณธรรม’ เสมอไป — ตรงกันข้าม หลายครั้ง การอ่านกลับกลายเป็นภัย เป็นการแปลกแยก เป็นสิ่งที่ต้องชำระ หรือกระทั่งสิ่งที่ “ต้องห้าม”

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ตัวละครเด็กในวรรณกรรมเด็กกลับมัก "ไม่ได้อ่านหนังสือ" เช่น อลิซใน Alice in Wonderland ที่ปฏิเสธหนังสือที่ไม่มีภาพ ไลราใน His Dark Materials ที่อ่านเครื่องมือทำนายได้ แต่ไม่เคยใช้หนังสือเป็นเครื่องชี้นำชีวิต

สิ่งนี้สะท้อนแนวโน้มสำคัญคือ วรรณกรรมเยาวชนจำนวนมาก ละเว้นการแทนค่าของ “การอ่าน” อย่างจงใจ และเมื่อตัวละครมีท่าทีต่อหนังสือ ก็อาจเป็นท่าทีแปลกแยก เช่น Pippi Longstocking ที่หัวเราะเยาะการศึกษา หรือ Bella ใน Twilight ที่เลิกอ่านเมื่อมีสังคม ตอนแรกที่นางเข้าสังคมไม่ได้นางจะมีหนังสือติดตัวไปในที่ต่างๆแต่พอนางเริ่มเข้าสังคมได้นางก็ไม่หันกลับมาอ่านหนังสืออีก

ในมุมนี้ Nikolajeva ชี้ให้เห็นช่องว่างอันน่ากังวล

“หากหนังสือสำหรับเด็กไม่แสดงให้เห็นว่าตัวละครรักการอ่าน แล้วเราจะคาดหวังอะไรจากผู้อ่านตัวน้อยในโลกแห่งความเป็นจริง”

การอ่านในเรื่องเล่าหลายเรื่องกลับกลายเป็นเครื่องหมายของความโดดเดี่ยว เช่น เด็กหญิง Caitlin ใน Mockingbird ที่อ่านหนังสือได้เร็วเกินมนุษย์ปกติ แต่ไม่เข้าใจอารมณ์ของคนรอบตัว หรือ Bastian ใน The Neverending Story ที่หลุดเข้าไปในโลกสมมติจนแทบไม่สามารถกลับสู่โลกจริงได้

การอ่านไม่ใช่เครื่องมือของความเป็นอิสระเสมอไป บางครั้ง การอ่านคือ “ความผิด” เช่นในเรื่อง Fly by Night ที่รัฐห้ามเด็กอ่านหนังสือ เพราะกลัวว่าเด็กๆจะมีความคิดอย่างอิสระ และเด็กที่ฝืนอ่านก็มักต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวด

Nikolajeva ไม่ได้กล่าวโทษวรรณกรรมเหล่านี้ แต่เธอเตือนว่า เด็กผู้อ่านอาจยังไม่มีพัฒนาการพอจะเข้าใจความย้อนแย้งเหล่านี้ หากผู้ใหญ่ไม่ช่วยชี้แนะ เด็กอาจซึมซับว่า “การอ่านคือกิจกรรมของคนแปลกแยก” หรือ “คนที่อยากเข้ากับเพื่อนไม่ควรอ่านหนังสือมากเกินไป”

ในฐานะที่เป็นครูสอนภาษาและวรรณกรรม บทความนี้ให้บทเรียนสำคัญว่า

เราไม่อาจสอนให้เด็กรักการอ่านได้ หากเราไม่ชี้ให้เขาเห็นว่า “การอ่าน” เป็นความสุข เป็นพลัง เป็นเสรีภาพ เป็นเครื่องมือที่จะทำให้นักเรียนเกิดทักษะในชีวิต ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่ต้องทำอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครสนใจหรือแม้กระทั่งชวนคนอื่นพูดคุยถึงเรื่องหนังสือแล้วจะถูกปฏิเสธอยู่เสมอ 

การออกแบบบทเรียนวรรณกรรมควรเชื้อเชิญให้นักเรียนไม่เพียงอ่านเรื่องราว แต่ “อ่านการอ่าน” ไปพร้อมกัน

  1. ตัวละครนี้อ่านไหม
  2. เขารู้สึกอย่างไรต่อหนังสือ
  3. เขาเติบโตจากการอ่านหรือไม่

เมื่อวรรณกรรมแม้กระทั่งภาพยนตร์ในปัจจุบันสร้างและเสนอภาพการอ่านที่ดูเหมือนไร้ความหมาย ครูจึงต้องเป็นผู้สร้างเสียงนั้นให้ดังก้องขึ้น ทำให้นักเรียนได้เห็นว่าหนังสือในมือเรานั้นมี “พลัง” มากเพียงใด ทั้งในการเปลี่ยนแปลงโลก และการเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง

ลองย้อนกลับมาสู่บริบทไทย วรรณคดีอย่าง พระอภัยมณี อาจดูห่างไกล แต่กลับมีบทสะท้อนที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับ “การฟัง” และ “การเล่าเรื่อง”

พระอภัยมณีใช้เพลงปี่เป็นเครื่องมือควบคุมสถานการณ์และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวพระอภัยมณีเอง — ไม่ต่างจากการใช้ “เสียงของเรื่องเล่า” เป็นพลังสร้างและเสนอความจริง

หากมองจากสายตาของเด็กด้วยประเด็นของบทความนี้ พวกเขาอาจถามว่า

“พระอภัยมณีอ่านหนังสือหรือเปล่า”

“ใครเป็นนักอ่านในรามเกียรติ์”

"ตัวละครไหนล่ะในขุนช้าง ขุนแผนที่ถือหนังสือเดินไปเดินมาบ้าง ก็ไม่เห็นมี"

“ทำไมตัวละครไทยส่วนมากไม่เคยถือหนังสือ”

คำถามเหล่านี้ แม้ฟังดูเล็กน้อย แต่สะท้อนให้เห็นว่าตัวละคร “ผู้อ่าน” ขาดหายไปจากจินตนาการของวรรณกรรมไทยพอสมควรเลย แต่ก็จะมีวรรณกรรมร่วมสมัยบ้างที่ตีพิมพ์มาที่วางขายในร้านหนังสือที่เป็นตัวละครที่รักการอ่านแต่ก็ไม่ได้ถูกนำมาพูดถึงหรือเป็นหนังสือที่เด็กทั่วไปหรือแม้กระทั่งเด็กในโรงเรียนจะได้อ่านด้วยซ้ำ

ถ้าเด็กไม่เคยเห็นตัวละครที่รักการอ่าน เราจะสอนพวกเขาให้รักการอ่านได้อย่างไร นี่ยังไม่รวมถึงสิ่งแวดล้อมหรือครอบครัวที่อาจจะไม่เคยมีหนังสือในบ้านเลยหรือไม่เคยหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านให้เด็กเห็นเลยด้วย


คำตอบคือ ครูต้องทำให้การอ่าน “เป็นชีวิต” ไม่ใช่แค่ “ภารกิจ” ตัวครูเองก็ต้องอ่านหนังสือ ไม่ใช่เป็นเพียงหนังสือเตรียมสอนหรือหนังสือเรียนแต่ต้องเป็นหนังสือที่แสดงถึงความรักในการอ่านที่เกี่ยวโยงกับชีวิตของการเป็นบุคคลที่เรียนรู้ตลอดชีวิต

ท้ายที่สุด Maria Nikolajeva ไม่ได้โจมตีวรรณกรรม แต่เตือนว่าเราควรมองเห็นว่าหนังสือบางเล่มกำลังส่ง “ข้อความย้อนแย้ง” และหากเด็กยังไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์ พวกเขาอาจรับสารผิด ๆ โดยไม่รู้ตัว  การสร้าง “ทักษะแห่งการตื่นรู้เชิงวรรณกรรม” (Literary consciousness) ควรเป็นเป้าหมายหลักของการเรียนภาษาและวรรณกรรมไม่ใช่เพียงให้เด็กจำเนื้อเรื่อง หรือเขียนย่อความได้

เรากำลังอยู่ในโลกที่วุ่นวาย และเด็กไทยกำลังเผชิญกับ “ความเงียบ” ทางปัญญาอย่างน่าตกใจ

หนังสือมากมายเรียงอยู่บนชั้น แต่ไม่มีใครเปิด

วรรณกรรมจำนวนมากพูดถึงทุกอย่าง ยกเว้น… การอ่าน

ดังนั้น ครูและนักอ่านจึงมีหน้าที่ไม่ใช่แค่ “หยิบหนังสือให้เด็ก” แต่ต้อง “ชี้ให้เขาเห็นว่าทำไมตัวละครที่เขารักจึงควรอ่านหนังสือ”

บทบาทของเราคือการทำให้ “เสียงของหนังสือ” ดังพอที่เด็กคนหนึ่งจะหันมาฟัง และค้นพบว่า… การอ่านไม่เคยเป็นเรื่องอันตราย หากแต่อาจเป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวจากโลกที่กำลังวุ่นวายเกินควบคุม


Smithi 

17 เมษายน 2568

ความคิดเห็น