กลัวไว้ก่อนค่อยนอน ทำไมเทพนิยายบางเรื่องถึงสยองจัง


บางคืน ฉันเคยนั่งอ่านนิทานก่อนนอนให้หลานฟัง  เปิดด้วยเสียงนุ่มนวล “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…”
แต่จบด้วยเสียงตัวเองกลืนน้ำลาย เพราะพระเอกโดนตัดหัว หรือไม่ก็เด็กหญิงตัวน้อยต้องตายอย่างโดดเดี่ยวกลางหิมะ
ฟังดูแรงใช่ไหมล่ะ — แต่เชื่อเถอะว่า 

"มันแรงจริง ๆ"

 

พอได้มาอ่านงานของ Maria Tatar ฉันเลยเข้าใจว่า นิทานสำหรับเด็กที่เราคุ้นเคยนั้น มันไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่คิด มันไม่ใช่แค่นิทาน แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่สังคมใช้เลี้ยงเด็ก  โดยเฉพาะการเลี้ยงให้ “เด็กดี”
และในที่นี้ เด็กดี…ต้องไม่ถามมาก ไม่เบี่ยงเบน และไม่ทำตัวแตกต่างไปจากผ้าที่พับไว้

ในงานของ  Tatar ยกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจลืมไปแล้ว ชื่อว่า Frau Trude
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่แม่ห้ามไม่ให้ไปบ้านของหญิงชราคนหนึ่ง แต่เธออยากรู้ เธอจึงไปที่นั่น เธอเห็นสิ่งประหลาด เห็นความมืด เห็นมนต์ดำ และสุดท้าย — ถูกเปลี่ยนเป็นท่อนไม้ โยนเข้ากองไฟ



ไม่ใช่เพราะเธอฆ่าใคร
ไม่ใช่เพราะเธอโจรกรรม
เธอแค่…ไปในที่ที่ห้ามไป

Tatar ชี้ให้เห็นว่า นิทานอย่าง Frau Trude คือแบบฝึกหัดให้เด็กเรียนรู้ผ่าน “ความกลัว”
ความกลัวว่าจะโดนลงโทษถ้าก้าวข้ามเส้นที่ผู้ใหญ่ขีดไว้
มันเหมือนสังคมกระซิบกับเด็กหญิงทุกคนว่า

 

“อย่าสงสัย อย่าล้ำเส้น อย่ามีแรงปรารถนาแบบอื่น”

ลองคิดดูว่า ถ้าเด็กหญิงในเรื่องนี้เป็นคนที่อยากรู้ว่า “โลกข้างนอกนิทานแบบเดิม ๆ เป็นยังไง”
คนที่ไม่อินกับการเป็นเจ้าหญิง แต่ดันอยากเป็นแม่มด เธอจะมีที่ยืนในนิทานนั้นไหม

Tatar ยังพาเราย้อนกลับไปสู่ความเชื่อดั้งเดิมในโลกคริสต์ยุโรป ที่ฝังรากลึกในนิทาน เช่น ความเชื่อที่ว่า “เด็กเกิดมาพร้อมบาป” ต้องถูกฝึก ถูกตี ถูกควบคุม นิทานเรื่อง The Stubborn Child จึงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
เด็กคนหนึ่งไม่เชื่อฟังแม่ พอตายก็ยังโผล่มือออกมาจากหลุมศพ แม่จึงต้องเอาไม้เรียวไปตี จนแขนยอมกลับลงดิน


ฉันอ่านเรื่องนี้แล้วใจหาย นี่คือภาพของ “ความรัก” แบบไหนกันนะ ที่ตีลูกได้แม้เขาจะตายไปแล้ว
ไม่ใช่เพราะเกลียด แต่เพราะเชื่อว่า “ความดื้อ” คือสิ่งที่ต้องฝังให้หมดจด มันคือการยืนยันของสังคมว่า 
เด็กไม่ใช่พื้นที่แห่งความงอกงาม แต่เป็นดินที่ต้องไถ ต้องปรับ ต้องปราบ

แล้วก็มี The Little Match Girl เรื่องนี้โรแมนติกมากจนหลายคนเสียน้ำตา
เด็กหญิงขายไม้ขีด คนเดียว กลางหิมะ จุดไฟทีละก้านเพื่อให้ตัวเองอบอุ่น
เห็นภาพของบ้าน ย่า อาหาร และสุดท้าย — เธอ “จากไป” อย่างสงบ
นิทานบอกว่า เธอได้ขึ้นสวรรค์ ได้อยู่กับคนที่เธอรัก
เธอ…มีความสุข แต่ Tatar ไม่ได้โรแมนติกตาม เธอถามกลับเลยว่า ทำไมเด็กต้องตาย ถึงจะได้ความสุข
ทำไมความสุขต้องมาในรูปแบบ “การหลุดพ้น” และถ้าความสุขมีในโลกนี้ไม่ได้
มันสะท้อนอะไรกับชีวิตจริงของเด็ก ๆ ที่อ่านเรื่องนี้อยู่

 

นิทานหลายเรื่องเชิดชู “ความอดทน” โดยเฉพาะเด็กหญิงผู้ยอมสละทุกอย่าง
เด็กหญิงใน The Star Coins สละเสื้อผ้าทุกชิ้น มอบให้คนยากไร้ สุดท้ายฟ้าประทานดาวให้เธอ 



ดาวที่กลายเป็นเหรียญทอง แล้วเธอก็ “อยู่สุขสบายตลอดชีวิต” แต่ถ้าอ่านดี ๆ เราจะพบว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ของเรื่อง ไม่ใช่ “การได้ทอง” แต่คือ “ความเปลือยเปล่าท่ามกลางหิมะ” คือภาพของความยอมจำนนอย่างที่สุด




Tatar ใช้เรื่องนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า นิทานบางเรื่องไม่ได้บอกว่า “เธอเก่ง”
แต่มันบอกว่า “เธออดทนพอ เธอเลยได้รับความรัก” การยืนหยัดไม่ใช่สิ่งที่น่ายกย่องเท่าการ “ไม่ยืนเลย”
การเถียงกลับไม่ใช่คุณธรรม การเงียบทนคือบัตรผ่าน

นิทานคลาสสิกจึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่มันคือแผนผังของอำนาจ ที่บอกเด็กว่า ใคร “ควรมีเสียง” และใคร “ควรเงียบ” โดยเฉพาะกับเด็กหญิง ที่ไม่ควรอยากรู้อยากเห็น ไม่ควรแข็งแรงเกินไป
ไม่ควรกล้าท้าทาย  ไม่ควรซับซ้อน  และสำหรับเด็กที่ “ไม่ตรงกรอบ”  เด็กชายที่อ่อนโยน เด็กหญิงที่กล้าเกินหน้า  หรือเด็กคนไหนก็ตามที่มีคำถามมากกว่าคำตอบ   นิทานจำนวนมากไม่มีพื้นที่ให้พวกเขายืนเลย


ฉันไม่ได้จะบอกว่า นิทานทั้งหมดต้องสดใส  หรือโลกต้องไม่มีความตาย
เพราะอย่างที่ Tatar ก็ได้นำมาแลกเปลี่ยนว่า ในอดีต ความตายคือสิ่งธรรมดาของชีวิต
เด็กเห็นศพในบ้านตัวเอง เดินผ่านความอดอยากทุกวัน มันเลยไม่แปลกที่นิทานจะมีงูพันหัว กระโหลก ร่างเน่า ดวงตาหลุด เพราะเด็กเห็นของจริงมาแล้ว แต่สิ่งที่ฉันคิดว่าเราควรถามคือ…
เรายังอยากใช้ “ความกลัว” เพื่อควบคุมเด็กอยู่ไหม
เรายังอยากเล่าเรื่องแบบเดิม

ที่ความอยากรู้ = ความผิด
การเป็นตัวเอง = ความน่าอับอาย
และรางวัลของความดี = ความตายที่สงบ   อยู่ไหม

บางที...
เราอาจต้องการนิทานที่ไม่ให้บทเรียนแบบตรงไปตรงมา แต่ให้อ้อม ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
นิทานที่ปล่อยให้เด็กได้เป็น “ตัวละครในแบบของเขา” ไม่ว่าจะกลัว กล้า อ่อนโยน แข็งแรง หรือยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าเป็นใคร นิทานที่ไม่ได้รีบสอน แต่พร้อมนั่งข้าง ๆ 
ในวันที่เด็กคนหนึ่งหลุดจากเส้นทาง แล้วร้องไห้กลางทาง
นิทานแบบนั้น… อาจไม่มีคำว่า “จบบริบูรณ์”
แต่จะมีคำว่า   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเล่าต่อก็ได้”

บางที…
นิทานไม่จำเป็นต้องลงโทษทุกความผิด หรือมอบรางวัลเฉพาะคนที่ “ถูกต้อง”
เพราะโลกจริงไม่ได้รอให้ใครเพอร์เฟ็กต์ก่อนจะได้รับความรัก
และการเติบโต ก็ไม่ได้เริ่มจากการทำดี แต่เริ่มจากการ “ได้ลอง” และ “ยังมีที่ให้กลับมาหากผิดพลาด”
ถ้านิทานสักเรื่องจะจบด้วยประโยคว่า

“และพวกเขาก็อยู่กันอย่างเข้าใจ แม้จะยังไม่รู้ทุกคำตอบ”

หลายคนอาจจะได้ยิ้มทั้งน้ำตา
เพราะนั่นแหละ…คือบทสรุปที่เด็กคนหนึ่งอยากได้ยินก่อนนอนจริง ๆ

อ่านงานฉบับเต็มเรื่องและศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ 




Smithi
ทวีวัฒนา
เมษายน  2568

ความคิดเห็น