เคยไหม ตอนเด็ก ๆ โดนดุแค่เพราะนั่งไม่นิ่ง แค่ปล่อยให้ผมยุ่งเป็นยายเพิ้ง แค่เผลอเอานิ้วเข้าปาก โลกของผู้ใหญ่ก็ลุกฮือ ราวกับว่าเด็กหนึ่งคนจะทำให้ระเบียบของจักรวาลนี้พังทลาย 😁
Struwwelpeter เป็นวรรณกรรมเด็กที่ไม่อ่อนโยน ไม่กล่อมให้หลับ และไม่ได้สอนให้รักกันแบบกาสะลอง ซ้องปีบ แต่มันเต็มไปด้วยบทลงโทษสุดโหดสำหรับเด็ก ๆ ที่ “ไม่เชื่อฟัง” ในสายตาผู้ใหญ่ เด็กที่ไม่กินข้าว เด็กที่ดูดนิ้ว เด็กที่หัวเราะเสียงดัง — ใครทำผิดก็เจอของจริงทันที
เด็กชายปีเตอร์—ที่ไม่หวีผม ไม่ตัดเล็บ และไม่แต่งตัวเรียบร้อย—ถูกประณามตั้งแต่ต้นเรื่องว่า “ไม่น่าดู ไม่น่าคบ” และนั่นก็เป็นเพียงบทนำของความวิปริตที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพประกอบสีสันสดใส
“นี่แหละ ปีเตอร์ เด็กผู้เล็บดำปี๋ ผมชี้ฟูเป็นรังนก...”
ฮอฟมันน์ไม่ได้เป็นนักเขียนนิทานมืออาชีพ เขาเป็นคุณหมอ เป็นพ่อ และเป็นคนที่รักศิลปะ เขาแต่งนิทานเหล่านี้ให้ลูกชายดูเล่นตอนคริสต์มาส เพราะหาหนังสือเด็กที่สนุกจริง ๆ ไม่ได้เลย แต่ใครจะไปคิดว่าสิ่งที่เริ่มจากความตั้งใจน่ารัก จะกลายเป็นนิทานเด็กที่โด่งดังที่สุดเล่มหนึ่งของยุโรป และถูกเล่าซ้ำ ดัดแปลง และถูกตั้งคำถามอีกหลายสิบปีถัดมา
กลุ่ม Tiger Lillies จากอังกฤษ หยิบ Struwwelpeter มาสร้างเป็นละครเวทีที่ไม่ได้เอาใจเด็กเลยแม้แต่น้อย ใช้ชื่อว่า Shockheaded Peter เป็นโอเปร่าผสมตลกร้าย ที่หยิบทุกความโหดร้ายในต้นฉบับมาขยายให้ชัดขึ้น ช็อกขึ้น และขำไม่ออกยิ่งขึ้น พวกเขาเล่าเรื่องผ่านหุ่นเชิด นักแสดงแต่งหน้าขาวเหมือนผีหลงโรง พร้อมเสียงดนตรีแนวคาบาเรต์แปลก ๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนลูบคางเบา ๆ แล้วตามด้วยตบหนึ่งที
ในเรื่องนี้ เด็กไม่ได้แค่ถูกสอนให้รู้จักผิดถูก แต่ถูกลากไปสู่จุดจบที่ไม่มีใครช่วยได้ เด็กบางคนตาย เด็กบางคนถูกตัดนิ้ว เด็กบางคนระเหยหายไปกับลม ไม่มีเสียงปลอบ ไม่มีอ้อมกอด และไม่มีบทเรียนให้จดจำแบบอบอุ่นหัวใจ มีเพียงเสียงหัวเราะที่เปรี้ยวปากจนเผลอกลืนน้ำลายฝืดคอ
แต่สิ่งที่ลึกกว่านั้นคือ ละครเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจพูดถึงเด็กเท่าไหร่หรอก เขากำลังพูดกับผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่ที่กลัวความวุ่นวาย ผู้ใหญ่ที่อยากให้เด็กเป็นแบบที่ตัวเองวาดฝันไว้ ผู้ใหญ่ที่พอเด็กไม่เข้าพิมพ์ก็เริ่มรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมเหตุผลคลาสสิกว่า
“ก็เพื่อหนูนะลูก”
ฉันเองเคยเป็นเด็กที่ไม่เข้าตามแบบแผนของผู้ใหญ่เท่าไหร่เหมือนกัน พูดมาก เสียงดังตั้งแต่เกิด นิสัยก็ไม่ได้เรียบร้อย นั่งหลังตรงได้ไม่ถึงนาที พูดเร็ว คิดเร็ว ชอบเขียนมากกว่าพูด และมักจะสงสัยในสิ่งที่ครูไม่อยากให้สงสัย โดยครูเหวี่ยงกลับด้วยถ้าถามมากนัก เอ้อ
ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าอะไรคือ “การควบคุมเชิงวัฒนธรรม” หรือ “ระบบคิดแบบชนชั้นกลาง” รู้แค่ว่า... ทำไมเราต้องรู้สึกผิดเพราะเป็นตัวเองด้วยนะ
เมื่อเทอมที่แล้ว วิชาวรรณกรรมสำหรับเด็ก (วิชาภาษาไทยเพิ่มเติม) ในคลาสเรียนนักเรียนในห้องของฉัน แต่ละกลุ่มได้อ่านคนละเรื่องจาก Struwwelpeter (ฉบับแปลภาษาไทย แต่ห้อง IEP ให้อ่านฉบับภาษาอังกฤษ 555) บางกลุ่มได้เด็กที่ไม่กินซุป บางกลุ่มได้เด็กที่แกล้งคนอื่น บางกลุ่มได้เด็กที่เล่นไม้ขีดแล้วไฟลุกตัวเอง บางกลุ่มอ่านแล้วพอได้หัวเราะ บางกลุ่มอ่านแล้วเงียบ ดูเครียด ๆ ไม่รู้เพราะงงหรือแอบแปลไม่ออก 😂😁 หรืออาจเงียบเพราะรู้สึกว่าขำไม่สุด เงียบเพราะมันดันคล้ายเรื่องที่เคยเจอ เงียบเพราะมันพูดเรื่องใหญ่กว่าความผิดเล็ก ๆ ของเด็กแต่ละคน มันพูดถึง “ผู้ใหญ่” ที่บางครั้งก็ลืมไปว่า เคยเป็นเด็กมาก่อน
เรื่องเล่าที่ดีสำหรับเด็ก ไม่ใช่แค่เรื่องที่สอนให้ทำดี ไม่ใช่แค่เรื่องที่จบด้วยความสุข แต่คือเรื่องที่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ถาม ได้สงสัย และได้เห็นว่าเขาไม่ได้อยู่ลำพังในโลกที่มีแต่คำสั่ง
Shockheaded Peter บอกเราว่า บางทีสิ่งที่เราคิดว่า “ความรัก” อาจจะเป็น “ความกลัว” ที่ห่อด้วยริบบิ้นให้ดูน่ารัก
และคำถามสำคัญที่ยังอยู่เสมอคือ... "ถ้า......ไหม" “ถ้าหนูไม่หวีผม ไม่ตัดเล็บ หนูยังเป็นที่รักอยู่ไหม” "ถ้าหนูเรียนไม่รู้เรื่อง หนูยังเป็นเด็กน่ารักอยู่ไหม" "ถ้า....ถ้า..... ถ้า....."
วรรณกรรมที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบ แต่อย่างน้อยมันก็พาเราไปยืนข้างเด็กคนนั้น แล้วฟังเขาถามโดยไม่รีบตอบกลับ
ใช้หัวใจมากขึ้น รับฟังมากขึ้น เรียนรู้ด้วยกันมากขึ้น
ไม่ได้ใช้แค่สมอง แต่.....ใช้หัวใจ
Smithi
19 เมษายน 2568
อ่านบทวิเคราะห์วรรณกรรมวิจารณ์เรื่อง Struwwelpeter เพิ่มเติมได้ที่
Zipes, Jack. (2013). Sticks and Stones: The Troublesome Success of Children’s Literature from Slovenly Peter to Harry Potter. New York: Routledge.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น