นอกจากเทพนิยายเรื่องสโนไวท์ ที่เป็นขวัญใจเด็กๆทั่วโลกอีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆคนรู้จักก็คือเรื่อง Sleeping Beauty หรือเจ้าหญิงนิทรา ซึ่งในบทความนี้ก็จะพูดถึงเจ้าหญิงนิทราในมุมมองของ
Sheldon Cashdan ที่กล่าวไว้ในหนังสือ The Witch Must Die The Hidden Meaning of Fairy Tales เหมือนกับที่ได้นำมากล่าวไปแล้วในบทความที่แล้วที่พูดถึงเรื่องสโนไวท์
เจ้าหญิงนิทราไม่ใช่เพียงนิทานแห่งการหลับใหลและความรักโรแมนติก แต่คือการพูดถึงที่การต่อสู้ภายในของเด็กหญิงในการเติบโตขึ้นมาในโลกที่พยายามปิดกั้นเสียงของพวกเธอ
“Fairy tales often depict witches as external threats. But sometimes, the most powerful witch is the one within.”
- เทพนิยายไม่เพียงจะนำเสนอภาพของแม่มดที่คุกคามเราจากภายนอกแต่บางครั้งเป็นการพูดถึงแม่มดที่มีพลังที่แฝงอยู่ในตัวเรา
ในวรรคแรกนี้เอง Cashdan ชวนให้เราคิดว่า “แม่มด” หรือ “ศัตรู” ที่ตัวเอกต้องเอาชนะ อาจไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ ภายในตัวเอง
คำว่า “หลับ” ในวรรณกรรมมักนำเสนอถึงภาวะของความไร้เสียงและการไม่มีอำนาจ
Cashdan พยายามเสนอให้เห็นว่า ตัวเอกในนิทานเจ้าหญิงนิทราไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ “หลับเพื่อรอรักแท้” อย่างที่นิทานสมัยใหม่ (เช่น Disney) พยายามสื่อ
ตรงกันข้าม การหลับในนิทานต้นฉบับหมายถึง การหมดสติจากความเป็นตัวของตัวเอง การไร้การควบคุมร่างกาย การถูกปิดกั้นเสียงโดยสิ่งแวดล้อมหรือพลังจากภายนอก
Cashdan เปรียบเทียบการหลับของเจ้าหญิงนิทราว่าเป็น การจำศีลแห่งความเป็นหญิง
ในสังคมที่ไม่อนุญาตให้เด็กหญิง “ตื่นรู้” ต่อร่างกาย ความรู้สึกทางเพศ หรือเสียงของตัวเอง
นิทานจึงไม่ได้พูดถึงเวทมนตร์ แต่พูดถึงการพัฒนาตนเองของหญิงสาวภายใต้แรงกดดัน
Cashdan เสนอว่า ทุกครั้งที่เจ้าหญิงนิทรา “ถูกสะกดให้หลับ” ไม่ว่าจะด้วยเข็มหมุนจากเครื่องปั่นด้ายหรือไม้กระทบ คือสัญลักษณ์ของ “ช่วงเวลาที่หญิงสาวถูกตัดขาดจากการรับรู้ถึงตัวเองในช่วงเปลี่ยนผ่านวัย"
ในนิทานแบบดั้งเดิม หญิงสาวมักถูกทำให้ล้มลงและหลับไหลในวันเกิดปีที่ 15 หรือ 16
ซึ่งตรงกับช่วงวัยรุ่น – ช่วงเวลาที่ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง และเพศสภาพกลายเป็นสิ่งที่สังคมจับจ้องและควบคุม
การหลับของเจ้าหญิงจึงไม่ใช่การพักผ่อน แต่เป็น การ “หยุดการเติบโต” อย่างจงใจ ไม่ใช่เพราะเธอเลือกเอง แต่เพราะมี “พลังที่เหนือกว่า” (มักมาในรูปของคำสาปจากแม่มด) ควบคุมเธอให้เงียบ ไร้เสียง และอยู่นิ่งมิอาจรับรู้หรือแสดงตัวตนใดๆในการเปลี่ยนผ่านในการเติบโตครั้งนั้นๆได้
นั้นเท่ากับว่าแม่มดในเรื่อง อาจเป็นอนุภาพของความกลัวในตัวผู้หญิงเอง แม่มดในเรื่องเจ้าหญิงนิทรา ไม่ได้มีจุดประสงค์จะทำลายเจ้าหญิง แต่กลับเป็นการลงโทษหรือควบคุมเธอ เพื่อไม่ให้เธอเติบโตเร็วเกินไป หรือเพื่อไม่ให้เธอ “ตื่นรู้ในสภาพของความเป็นผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ” ในสิ่งที่แม่มด (ซึ่งมักเป็นหญิงสูงวัย) เคยสูญเสียไปแล้ว
“The witch is not just an antagonist. She is an internal warning system – a psychic guardian of the past.”
Cashdan เสนอว่าแม่มดในนิทานจึงอาจเป็นภาพแทนของ *“แม่” หรือ “หญิงสาวในอนาคต” ที่กลัวการถูกแทนที่ เธอสาปให้เจ้าหญิงหลับ ไม่ใช่เพราะเกลียดชังเพียงอย่างเดียว แต่เพราะต้องการให้เจ้าหญิงยังอยู่ใน “สภาวะควบคุมได้” นั่นเอง
การหลับ = การรอคอยการกำหนดจากผู้อื่น
เมื่อเจ้าหญิงหลับไป เธอไม่สามารถเลือกอะไรได้อีก เธอไม่สามารถพูด ไม่สามารถปฏิเสธ
เธอเป็นเพียงร่างนิ่ง ๆ ที่ “รอการถูกจุมพิต” — หรือในนิทานบางเวอร์ชันที่โหดร้ายยิ่งกว่า “รอการถูกครอบครอง”
“In fairy tales, sleep is rarely innocent. It is often a substitute for silencing the self.”
Cashdan ชี้ชวนให้คิดว่า เราไม่ควรอ่านนิทานนี้แบบไร้เดียงสา เพราะการหลับของเจ้าหญิงนิทราในวรรณกรรมโบราณมักแฝงนัยยะรุนแรงเสมอ
มันคือการ “ปลดอำนาจ” ของผู้หญิงลงอย่างสมบูรณ์ – ให้เธอเงียบ ให้นิ่ง และให้ถูกรักโดยไม่ต้องรู้ตัว
Sleeping Beauty ในเวอร์ชันของ Giambattista Basile ในนิทานชื่อ “Sun, Moon, and Talia” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1634 ในเวอร์ชันนี้ เจ้าหญิง Talia ไม่ตื่นขึ้นด้วยจุมพิตแห่งรักแท้
แต่เธอ ถูกเจ้าชายข่มขืนในขณะหลับ และตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว
Talia ถูกสาปให้หลับเพราะเศษใยป่านตำเข้าไปในนิ้วของเธอ เธอล้มลง หมดสติ และถูกวางไว้ในบ้านกลางป่า โดยบิดาของเธอทิ้งเธอไว้ที่นั่นเพราะเชื่อว่าเธอตายแล้ว
หลายปีต่อมา กษัตริย์องค์หนึ่งมาพบเรือนที่ถูกทิ้งร้าง และเมื่อเข้าไปในห้อง ก็พบหญิงสาวผู้ “นอนหลับ” อยู่บนเตียง และแทนที่จะช่วยเธอ หรือหาคนมาดูแล เขา “พาเธอขึ้นเตียง” และ กระทำการทางเพศกับร่างไร้สติของเธอ
“He did not wake her. He did not kiss her. He raped her.”
หลังจากเหตุการณ์นั้น Talia ยังคงนอนหลับโดยไม่รู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ เธอคลอดลูกฝาแฝด — เด็กหญิงชื่อ Sun และเด็กชายชื่อ Moon — ขณะยังหลับอยู่ มีนางฟ้าหรือภูติบางตน (ขึ้นอยู่กับเวอร์ชัน) ที่ช่วยดูแลเธอและให้นมเด็กแทน
วันหนึ่ง เด็กน้อยคนหนึ่งดูดนิ้วของเธอเพื่อหานม และบังเอิญดึงเศษใยป่านออกจากนิ้ว — Talia จึง “ตื่นขึ้นจากหลับไหล”
แต่สิ่งที่เธอตื่นมาเผชิญ ไม่ใช่เจ้าชายผู้อ่อนโยน
แต่คือความสับสนในร่างกาย ความกลัว ความจริงอันน่าตกใจว่าเธอมีลูก โดยไม่เคยรู้ว่าตั้งครรภ์
เจ้าชายกลับมาพบ Talia อีกครั้งหลังจากที่เธอฟื้น และ แสดงความยินดีที่เธอตื่น พร้อมจะพาเธอกลับไปอยู่กับเขา แต่นั่นยังไม่ใช่จุดจบของความเจ็บปวด เพราะเจ้าชายมีภรรยาอยู่แล้ว
เมื่อภรรยาของเจ้าชายรู้เรื่องการมีตัวตนของ Talia และลูกทั้งสอง เธอจึงสั่งให้ขุนนาง “ลักพาตัวลูกทั้งสองมาฆ่าและทำเป็นอาหารให้เธอกิน”
แม้จะไม่มีการฆ่าจริงในตอนท้าย (เพราะขุนนางใจดีแอบเปลี่ยนเนื้อ)
ในเวอร์ชันของ Basile ไม่มีการกล่าวถึงว่าเจ้าชาย “ขอโทษ” หรือ “รับผิดชอบ” ต่อการล่วงละเมิดที่เกิดขึ้น ตรงกันข้าม เขาถูกมองว่าเป็นผู้ “ปลดปล่อย” เขาได้ภรรยาใหม่ (Talia) และมีลูกที่เขาไม่เคยเลี้ยงดู ขณะที่หญิงอีกคน (ภรรยาเดิม) ถูกลงโทษและตายอย่างเจ็บปวด
Cashdan สรุปว่า Sleeping Beauty ในเวอร์ชันนี้ไม่ได้หลับเพื่อรอเจ้าชาย แต่ หลับเพราะ อำนาจภายนอกสั่งให้เธอหลับ ตื่นขึ้น เพราะเธอถูกร่างกายเรียกร้องให้รู้ความจริง และต้องต่อสู้ ไม่ใช่กับแม่มด แต่กับระบบที่ตัดสินว่าเสียงของเธอไม่มีความหมายตั้งแต่ต้น
หลังจากวิเคราะห์เวอร์ชันของ Basile ทำให้เราได้เห็นมุมมองว่า เจ้าหญิงนิทราไม่ได้ “ตื่น” ด้วยความยินดี แต่ฟื้นจากฝันร้ายของการถูกละเมิด —
“การนอนหลับ” ของเจ้าหญิงไม่ใช่แค่การหมดสติ แต่คือสัญลักษณ์ของ การถูกทำให้เงียบ ในวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่
นิทานเจ้าหญิงนิทราสะท้อนให้เห็นว่า หญิงสาวในช่วงวัยรุ่นถูกปิดกั้นไม่ให้ “ตื่นรู้” ในสามด้านสำคัญคือ ด้านร่างกาย (การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์)
ด้านจิตใจ (ความใคร่รู้และความคิดวิพากษ์)
ด้านสังคม (การมีเสียงและอำนาจต่อรอง)
“การหลับ” จึงเป็นสิ่งที่สังคมใช้เป็นกลไกเพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาว “ตื่นขึ้นมาเป็นตัวของตัวเอง”
ในทุกเวอร์ชันของนิทาน เจ้าหญิงนิทรา “ไม่ได้ตื่นขึ้นด้วยตัวเอง” เธอต้องอาศัย “จุมพิตของชายคนหนึ่ง” ซึ่งในเวอร์ชันต้นฉบับอาจหมายถึงการล่วงละเมิดโดยไม่มีความยินยอมด้วยซ้ำ
และนั่นคือภาพแทนของวัฒนธรรมที่สอนให้เด็กหญิง “รอคอยชายผู้มาปลุก” ซึ่งอาจหมายถึงความรัก ความสำเร็จ การยอมรับ หรือแม้แต่ “คุณค่าของการมีชีวิต”
Cashdan เชื่อว่าอายุที่เจ้าหญิงถูกสาปให้หลับ (เช่น 15 หรือ 16 ปี) ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
มันคือช่วงวัยของการ “เปลี่ยนผ่าน” — หรือที่เรียกว่า rite of passage — นั่นหมายถึงช่วงเวลาที่เด็กหญิงกำลังจะเป็นหญิงสาว ร่างกายเริ่มเปลี่ยน เสียงของเธอเริ่มชัดขึ้น ความคิด ความรู้สึกทางเพศ และเริ่มมีความเป็นอิสระ
แต่ในวัฒนธรรมเหล่านี้ การเปลี่ยนผ่านของเด็กหญิงกลับถูก สะกดไว้ด้วยคำสาปของแม่มด ซึ่ง Cashdan วิเคราะห์ว่าเป็น อัตลักษณ์ของหญิงสูงวัยที่พยายามหยุดยั้งการเติบโตของหญิงสาว
ในหนังสือ Cashdan ได้ยกกรณีศึกษาของคำสารภาพของหญิงสาวหลายคนที่รู้สึกว่า “ชีวิตของตนเหมือนเจ้าหญิงนิทรา” โดยได้ให้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
- พวกเธอเติบโตมาในครอบครัวที่ควบคุมร่างกายและความคิด
- เมื่อเริ่มแสดงออกทางเพศหรืออารมณ์ ก็ถูกตีตราว่า “ไม่ดีพอ”
- ความเงียบ ความอ่อนหวาน และการ “รอ” กลายเป็นสิ่งที่สังคมชมเชย
เขาเล่าว่า ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
“I wasn’t asleep because of magic. I was asleep because it was safer that way.”
ฉันไม่ได้หลับ (ทำตัวเองให้เงียบและไร้เสียงทำความคิด) เพราะเวทมนต์แต่ฉันหลับเพราะว่ามันปลอดภัยในหนทางนี้
นอกจากนี้ Cashdan พยายามที่จะโต้กลับภาพฝันแบบดิสนีย์ โดยบอกว่า
“The prince is not the solution. The waking is.”
"เจ้าชายไม่ใช่ทางออกของปัญหานี้แต่การตื่นต่างหาก"
ความหวังของหญิงสาวในนิทาน ไม่ควรถูกแขวนไว้กับการมาถึงของชายคนหนึ่ง แต่ควรอยู่ที่ การฟื้นคืนของเสียง ความคิด และสิทธิในการเลือกเส้นทางชีวิต
การ “ตื่น” ในความหมายของ Cashdan จึงไม่ใช่แค่การลืมตา แต่คือการฟื้นคืนสิทธิในเนื้อหนัง เสียงของหัวใจ และพลังแห่งความเป็นมนุษย์
Cashdan พยายามเสนอความคิดให้เห็นว่า แม่มดในนิทานเจ้าหญิงนิทรา ไม่ได้เป็นเพียงตัวร้ายจากภายนอก แต่คือภาพแทนของ “ด้านมืด” ภายในจิตใจของผู้หญิงเอง โดยเฉพาะหญิงที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแห่งวัย ความเสื่อม ความกลัวการสูญเสียความงาม และอำนาจในโลกที่ตัดสินผู้หญิงจากรูปลักษณ์
แม่มดมักเป็นผู้สาปให้เจ้าหญิงนิทราหลับเมื่อถึงวัย 15 หรือ 16 ปี ซึ่งไม่ใช่แค่การหยุดเวลา แต่คือ การลงโทษ ต่อการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้จะเกิดขึ้นกับหญิงสาว
แม่มดมองเห็นว่า หญิงสาวกำลังจะกลายเป็น “หญิงที่สวยกว่า อ่อนเยาว์กว่า มีพลังดึงดูดทางเพศมากกว่า” และเธอจึงพยายามหยุดยั้งเส้นทางนั้นด้วยการ “สะกดให้หลับ” หรือกล่าวอีกทางหนึ่งคือ “ทำให้เธอเงียบ ไม่เคลื่อนไหว และไม่อันตรายต่อระบบเดิม”
Cashdan ไม่กล่าวโทษแม่มดอย่างตรงไปตรงมา หากแต่ทำความเข้าใจว่า แม่มดนั้นคือ
“The future self of the princess. The woman she will one day become—angry, discarded, and silenced.”
แม่มดไม่ใช่คนอื่นไกล แต่คือ “หญิงสาวในอนาคต” ที่ถูกปฏิเสธโดยสังคม และต้องรับบทผู้ร้ายในเรื่องราวของคนรุ่นใหม่
แม่มดจึงไม่ได้สาปเจ้าหญิงเพราะโกรธเธอเป็นการเฉพาะ แต่เพราะเธอ หวาดกลัว ว่าจะถูกลืม เธอจำต้องทำลาย เพื่อปกป้องพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งคือสภาวะของผู้หญิงสูงวัยที่ต้องต่อสู้กับโลกที่ยกย่องแต่ความอ่อนเยาว์
ในวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับความเยาว์วัย
ผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยกลางคนจะเริ่มรู้สึกว่า “ตัวเองค่อย ๆ หายไปจากสายตาของโลก”
เธอจึงเกิดความรู้สึกทั้งกลัว โกรธ และอิจฉาผู้หญิงที่ยังอ่อนวัยกว่า
“In a society that equates youth with beauty and power, the aging woman becomes invisible.”
แม่มดจึงสาปหญิงสาว เพื่อยื้อเวลา เพื่อบอกว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเธอ” และที่ลึกไปกว่านั้น การสาปนั้นไม่ใช่เพียงแค่ลงโทษหญิงสาว แต่คือการลงโทษ ตัวแม่มดเอง ที่ไม่อาจทนมองความเปลี่ยนแปลงได้
Cashdan เตือนว่าหนึ่งในบาดแผลลึกที่สุดของผู้หญิงในนิทาน (และในชีวิตจริง) คือ การถูกทำร้ายจากผู้หญิงด้วยกันเอง
- หญิงสาวถูกสาปโดยหญิงสูงวัย
- หญิงชราถูกลืมโดยหญิงสาว
- และต่างฝ่ายต่างมองกันเป็นภัย ไม่ใช่พันธมิตร
“The witch and the girl are not enemies by nature. They are made enemies by a society that divides them by age, value, and beauty.”
นี่คือการปะทะกันระหว่าง “หญิงที่กำลังมา” กับ “หญิงที่กำลังจาก” และเขาแสดงความหวังว่า นิทานควรไม่จบด้วยความตายของแม่มด
แต่ควรเปิดพื้นที่ให้หญิงทั้งสองเจอกันกลางทาง – ในความเข้าใจ และการยอมรับซึ่งกันและกัน
แทนที่แม่มดจะต้องตาย — หากเจ้าหญิงนิทราสามารถฟังความกลัว ความเจ็บปวด และความเงียบของแม่มด และหากแม่มดสามารถยอมรับการเติบโตของหญิงสาว ไม่ใช่ในฐานะคู่แข่ง แต่ในฐานะ “ภาพสะท้อนของตนเมื่อครั้งยังเยาว์”
— พวกเธออาจจะ ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกันอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันใดของนิทาน เช่นของ Basile Perrault Grimm หรือ Disney เจ้าหญิงนิทรามักจะ ‘ตื่น’ เพราะใครบางคนกระทำต่อร่างกายเธอ บ้างตื่นเพราะเด็กดูดนิ้ว (Basile)
บ้างเพราะเจ้าชายจุมพิต บ้างเพราะการสั่นของร่างกาย ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เหมือนกันคือ
“เธอไม่เคยได้เลือกตื่นด้วยตัวเอง”
และนั่นคือสิ่งสำคัญของปัญหา เจ้าหญิงไม่ได้ถูกสาปให้หลับเพียงกาย แต่ถูก “ปล้นสิทธิ์ในร่างกาย” ไปตั้งแต่ต้น
แม้จะตื่น แต่หากยังไม่มีเสียง หรือสิทธิ์เลือก — เธอก็ยังไม่ “มีชีวิตอยู่” อย่างแท้จริง
ในเวอร์ชันของ Basile — หลังจากเจ้าหญิง Talia ตื่น เธอ “ไม่ได้พูดอะไรเลย” เธอถูกพากลับไปยังวัง ถูกแต่งตั้งเป็นภรรยา ถูกทำให้กลายเป็น “ของ” ของเจ้าชาย และลูกของเธอ — Sun กับ Moon — ก็กลายเป็นองค์ประกอบที่เสริมให้เรื่องจบแบบ “มีความสุข”
เมื่อไม่มีเสียงของ Talia ไม่มีการประมวลว่าเธอรู้สึกอย่างไร ไม่มีการชดใช้จากผู้ที่ล่วงละเมิด
ความสุขจึงเป็นเพียงภาพปลอม ที่สร้างจากความเงียบของหญิงสาว
ในนิทานดั้งเดิม เจ้าหญิงถูกเลือกเสมอ
- ถูกเลือกให้หลับ
- ถูกเลือกให้เป็นเมีย
- ถูกเลือกให้ตื่น
- ถูกเลือกให้เงียบ
Cashdan ได้พยายามเสนอว่า หากเราต้องการให้ Sleeping Beauty กลายเป็นนิทานเยียวยาจิตใจ
เราต้อง “ให้เธอเลือกเอง” สักครั้ง
การตื่นจึงไม่ควรเป็นผลจากจุมพิต
แต่ควรเป็นการตัดสินใจ — การทวงคืนเสียง
“ฉันพร้อมแล้วจะไม่เงียบอีก”
ไม่ใช่แค่จากความหลับ แต่จากความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม ความกลัว และการยอมจำนน
Cashdan ได้ยกตัวอย่างเสียงของผู้หญิงในชีวิตจริงที่เคยรู้สึกว่า “ตัวเองคือเจ้าหญิงนิทรา” ในรูปแบบที่เจ็บปวด โดยเขาเล่าให้ฟังว่า
หญิงคนหนึ่งบอกว่าเธอรู้สึกเหมือนอยู่ในโลงแก้วมานานนับสิบปี — ทำตามหน้าที่ แต่ไม่เคยได้พูดสิ่งที่รู้สึก อีกคนกล่าวว่าเธอเคยถูกแตะต้องโดยไม่ยินยอม แต่สังคมบอกให้เธอ “ปล่อยวางแล้วเดินต่อไป”
Cashdan บอกว่า สิ่งที่นิทานต้องการให้เราทำ ไม่ใช่แค่ “ตื่น” แต่ ช่วยให้กันและกันตื่น
ช่วยฟังเสียงของหญิงสาวในนิทาน — ไม่ใช่เพื่อแต่งงานกับเธอ แต่เพื่อให้เธอ พูดได้เองอีกครั้ง
หากเรายอมรับว่าแม่มดคือตัวแทนของหญิงสูงวัยในตัวเอง หากเรายอมรับว่าเจ้าหญิงคือตัวแทนของหญิงสาวที่กำลังจะลุกขึ้น และหากเรายอมรับว่าทั้งสองอยู่ในร่างเดียวกัน
นั่นทำให้เรามองเห็นว่าการตื่นขึ้นของเจ้าหญิง
ไม่ใช่ชัยชนะของหญิงสาวเหนือหญิงชรา
แต่คือ การกลับมารวมกันเป็นหนึ่งในตัวเราเอง อย่างสงบ เข้าใจ และมีเสียงของตนเอง
นั่นเท่ากับว่า
“Sleeping Beauty teaches us that silence is not innocence. That to wake is not merely to open one’s eyes, but to open one’s voice.”
*เจ้าหญิงนิทราสอนเราว่าความเงียบไม่ใช่แค่เพียงความไร้เดียงสา การตื่นขึ้นไม่ใช่การเปิดขึ้นของตาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันคือการเปิดพื้นที่ให้คนนั้นได้มีเสียง"
“The witch must die only if she refuses to change. But if she listens—she too may be reborn.”
"การที่แม่มดต้องตายเพียงเพราะเธอปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงแต่ถ้าเธอรู้จักรับฟัง บางทีเธออาจจะได้เกิดใหม่อีกครั้ง"
สมิทธิ
พุทธมณฑลสาย 4
ทวีวัฒนา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น