การใช้เสียงของผู้เล่าในบทกวีสำหรับเด็ก
“How far is it to Babylon?”
(‘ไกลแค่ไหนถึงบาบิโลน?’)
เด็กในบทกวีถามถึงระยะห่างระหว่างอดีตและปัจจุบัน ซึ่งสตีเวนสันตอบกลับด้วยน้ำเสียงแห่งความโหยหา
“Far, far enough from here—”
(‘ไกลมาก ไกลจากที่นี่เหลือเกิน—’)
โดยเนื้อความได้สะท้อนประเด็นของกวีที่ต้องพยายามสื่อสารกับเด็ก โดยต้องใช้ความทรงจำและทักษะทางภาษามาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัย
Sheila Egoff ซึ่งเป็นนักวิจารณ์วรรณกรรมสำหรับเด็ก อธิบายว่าสตีเวนสันเป็นหนึ่งในผู้สร้างสรรค์ "Domestic lyric" หรือบทกวีที่สะท้อนชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ที่มองโลกแตกต่างจากผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม บางคนมองว่าสตีเวนสันอาจเป็นต้นเหตุให้บทกวีสำหรับเด็กในยุคต่อมาเต็มไปด้วยอุดมคติแบบชนชั้นกลาง เช่น บทกวีที่เน้นความสุขของเด็กที่เติบโตในบ้านที่มั่นคงอบอุ่น Sheila Egoff ได้วิจารณ์ไว้ว่านักกวีที่ได้รับอิทธิพลจากสตีเวนสันอาจไม่ได้พัฒนาแนวทางใหม่ ๆ เท่ากับนักกวีแนวสมัยใหม่ เช่น Lawrence Ferlinghetti หรือ Allen Ginsberg ซึ่งนำเสนอหัวข้อที่เข้มข้นและจริงจังกว่า เช่น ความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเด็กที่มากเกินไป
แต่ถึงแม้จะมีเสียงวิจารณ์นี้ นักวิจารณ์หลายคนก็ยังยอมรับว่าสตีเวนสันมีความสามารถพิเศษในการถ่ายทอด “เสียง” ของเด็กอย่างจริงใจ บุคคลสำคัญคนหนึ่งคือ James Pope Hennessey นักเขียนแนวชีวประวัติและการเดินทางชาวอังกฤษ เรียก A Child’s Garden of Verses ว่า
“บันทึกว่าด้วยจิตใจของเด็กที่แสนมีเสน่ห์” ในขณะที่ John A. Stewart กล่าวว่า “หนังสือเล่มนี้สะท้อนความสุขและความเศร้าของวัยเด็กอย่างซื่อสัตย์ และแทบไม่มีใครทำได้ดีกว่า”
ใน A Child’s Garden of Verses มีการใช้เสียงของผู้เล่า (Voice of Narrator) ในเรื่องแตกต่าง กันออกไป โดยสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทหลัก ได้แก่
๑. เสียงแห่งคุรุ คือ เสียงที่ใช้ในการให้คำแนะนำหรือข้อคิดทางศีลธรรม
ใน "Whole Duty of Children", สตีเวนสันใช้เสียงของครูที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ดี
“A child should always say what’s true,
And speak when he is spoken to.”
(‘เด็กควรพูดความจริงเสมอ และพูดเมื่อมีคนพูดด้วย’)
แต่ท้ายสุด เขากลับลดทอนความเคร่งครัดลงด้วยประโยค
“At least as far as he is able.”
(‘เท่าที่เขาทำได้’)
ซึ่งสะท้อนถึงการมองโลกตามความเป็นจริงว่าเด็ก ๆ ไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบได้
๒. เสียงของผู้สังเกตการณ์ คือ เสียงที่ใช้บรรยายปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
ใน "Looking-Glass River", สตีเวนสันใช้เสียงของผู้ใหญ่ที่นำเด็กให้สังเกตธรรมชาติ
“Smooth it glides upon its travel,
Here a wimple, there a gleam.”
(‘มันไหลเอื่อยไปตามเส้นทาง มีริ้วคลื่นและแสงสะท้อนเป็นระยะ’)
น้ำเสียงเช่นนี้แสดงถึงผู้ใหญ่ที่นำทางเด็กสู่โลกของความสงบและความงามทางธรรมชาติ
๓. เสียงของผู้ใหญ่ที่เล่นกับเด็ก คือ เสียงที่ถ่ายทอดอารมณ์ขี้เล่นและอารมณ์ขัน
กวีบางคน เช่น Shel Silverstein ใช้เสียงของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและการต่อต้านกฎเกณฑ์ของผู้ใหญ่ แต่สตีเวนสันไม่ค่อยใช้แนวทางนี้มากนัก
๔. เสียงของผู้ใหญ่ที่มองย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก คือ เสียงที่ใช้เมื่อนำเสนอความรู้สึกโหยหาอดีต
บทกวีอย่าง "Keepsake Mill" มีเสียงของเด็กที่เต็มไปด้วยความทรงจำของผู้ใหญ่
“Oh, a trouble’s a ton, or a trouble’s an ounce,
Or a trouble is what you make it.”
สะท้อนถึงความเข้าใจในชีวิตที่ซับซ้อนขึ้น
๕. เสียงของเด็กเอง ซึ่งเป็นเสียงที่ทรงพลังที่สุดในผลงานของสตีเวนสัน
เสียงของเด็กใน "My Shadow" สะท้อนถึงความสงสัยที่เด็กมีต่อเงาของตนเอง
“I have a little shadow that goes in and out with me,
And what can be the use of him is more than I can see.”
เสียงของเด็กในบทกวีนี้เต็มไปด้วยความสดใส และสะท้อนถึงความคิดแบบเด็กแท้ ๆ
บทกวีของสตีเวนสันใน A Child’s Garden of Verses เป็นมากกว่าคำคล้องจองสำหรับเด็ก แต่คือบทกวีที่ถ่ายทอดเสียงของวัยเด็กได้อย่างแท้จริง สตีเวนสันมีความสามารถพิเศษในการสร้างเสียงของเด็ก ที่ไร้เดียงสา แต่เต็มไปด้วยอารมณ์และความคิด เขาสามารถเชื่อมโยงโลกของผู้ใหญ่กับโลกของเด็กโดยไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูด้อยค่าลง สิ่งนี้ทำให้ผลงานของเขายังคงมีพลัง แม้ว่าจะผ่านมาเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้ว
“The voice he found was not just a child’s voice—
but the voice of childhood itself.”
(‘เสียงที่เขาค้นพบนั้นไม่ใช่แค่เสียงของเด็ก—แต่เป็นเสียงของวัยเด็กที่แท้จริง’)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น