เมื่อแมวกลับชาติมาเกิด เพื่อหาเจ้าของ T_T บทความนี้ทำฉันร้องไห้เพราะซึ้งใจมาก ฮืออออออ


เล่าโดย   สมิทธิ  อินทร์พิทักษ์



บทความนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแมวซึ่งกลับชาติมาเกิด เล่ามาจากเรื่องจริง หากคนที่ไม่เชื่อก็อาจอ่านด้วยความบันเทิงก็ได้ แต่ย้ำว่า "เป็นเรื่องจริง"  ที่อยู่ในหนังสือเรื่อง I'm Home! a Cat's Never Ending Love Story: Pets Past Lives, Animal Reincarnation, Animal Communication, Animals Soul Contracts, Animals Afterlife & Animals Spirits เขียนโดย Brent Atwater หนังสือเล่มนี้เล่าถึง การกลับชาติมาเกิดของสัตว์เลี้ยง (Animal Reincarnation) และการสื่อสารกับวิญญาณของสัตว์เลี้ยงหลังจากพวกเขาจากไป 


หน้าปกของหนังสือ

Brent Atwater ได้พูดถึงแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิดของสัตว์ และความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณที่สัตว์เลี้ยงมีต่อเจ้าของ แม้หลังจากที่มันจากไปแล้ว

Brent Atwater เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน การสื่อสารกับสัตว์และกลับชาติมาเกิดของสัตว์เลี้ยง เธอเชื่อว่าผู้คนสามารถเชื่อมโยงกับสัตว์เลี้ยงที่จากไปแล้วผ่านการสื่อสารทางจิตวิญญาณ และสัตว์เลี้ยงสามารถกลับมาเกิดใหม่หาเจ้าของได้อีก โดยในเนื้อหามีทั้งชีวิตหลังความตายของสัตว์ (Animals Afterlife) วิญญาณของสัตว์ (Animals Spirits) และ การสื่อสารกับสัตว์เลี้ยงหลังจากการจากไป (Animal Communication)

โดยส่วนตัวยังอ่านไม่จบทั้งเล่ม (เนื่องจากมีเกือบสองร้อยหน้า) แต่เห็นว่าเนื้อหาน่าสนใจมาก จึงขอนำเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือมาเล่าให้ฟังหนึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องราวของแมวที่ชื่อโอลิเวอร์ (ออลลี่) ที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Nancy Chaffin Russell


Nancy กับแมวชื่อ Tiger ในปี ค.ศ. 1963 (ตอนนี้ Tiger กลายเป็น Miles)

นี่คือเรื่องราวของแมวของฉัน เป็นเรื่องที่เล่าแบบไม่เสริมเติมแต่งและออกมาจากใจจริง ไม่ได้มีการแก้ไขอะไรมาก แต่ออลลี่ (ชื่อแมว Ollie) สมควรที่จะมีเรื่องราวของเขาให้เล่าด้วย

ก่อนที่เขา (แมวที่ชื่อออลลี่) จะกลับมา ฉันเคยคิดว่าการเกิดใหม่เป็นเพียงทฤษฎีที่น่าสนใจ ซึ่งได้แค่หวังว่ามันอาจจะเป็นจริงก็ได้มั้ง ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริงแน่นอน และมันก็เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ

วันหนึ่งออลลี่คงรู้สึกว่าทนใช้ชีวิตบนโลกไม่ไหว มันมาหาฉันในบ่ายวันนั้น ดวงตาสีเขียวปนสีทองของมันอ้อนวอนให้ฉันปล่อยให้มันจากไป และสัญญาว่ามันจะกลับมาอีกในวันหนึ่ง ฉันมองไปที่ลายทางเสือสีส้มของออลลี่ ครั้งหนึ่งที่เคยดูแข็งแรงแต่ตอนนี้ดูบางและเหลือน้อยเต็มที  ฉันย้อนนึกถึงวันเวลาที่ฉันกับออลลี่เคยมีความสุขร่วมกัน

ออลลี่ตัวเล็กมากเมื่อฉันพบมันครั้งแรก มันเป็นหนึ่งในลูกแมวที่ถูกทิ้ง ไม่มีอาหารจะกิน และเป็นตัวเดียวจากสี่ตัวที่รอดชีวิต มันชอบเข้ามานอนบนตักของฉัน แล้วก็ฉลาดที่จะทำแบบนั้นเสมอ มันสามารถสื่อสารกับฉันได้แบบที่แมวตัวอื่นทำไม่ค่อยได้ ทั้งพยายามสื่อสาร(แบบแมว) ให้รู้ว่า "ถ้วยอาหารของฉันว่างอยู่นะ" หรือ "ถึงเวลาต้องลากันแล้ว 😭"

ฉันปล่อยให้ออลลี่อยู่ตามลำพังในบ่ายวันนั้น 
และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ออลลี่ก็จากไป

เราต่างเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ออลลี่ป่วย เมื่อฉันกลับเข้าไปในห้องและพบร่างเล็ก ๆ สีส้มของเขานอนอยู่บนพื้น ร่างที่ไร้วิญญาณของออลลี่ ฉันก็พอจะรู้ว่า ออลลี่ได้ทำท่าเต้นแห่งความสุข และต้องการบอกว่า "I Feel Good" (เพลงของ James Brown) ก่อนจะจากไป



มันเป็นเวลานานแล้วที่เขาเคยรู้สึกดีแบบนั้น (อย่างน้อยก็ก่อนที่จะป่วย) และฉันก็มีความสุขแทนออลลี่ ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา ขณะที่ฉันพาเขาไปหาสัตวแพทย์เพื่อเผาร่างของออลลี่ และสงสัยว่า มันจะกลับมาจริง ๆ ตามที่สัญญาไว้จริง ๆ ไหม

ในตอนนั้นแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิดดูเป็นเรื่องที่ไกลเกินจริง แต่ถ้าออลลี่สามารถทำได้จริง ๆ หากมันสามารถกลับมาจากอีกฝั่งได้ (น่าจะหมายถึงภพที่อยู่อีกฝั่งหลังตายไป ) มันจะเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ออลลี่จะมอบให้ฉัน 
มันไม่ใช่ทุกวันที่เราจะได้เห็นหลักฐานการเป็นอมตะของจิตวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม ฉันจึงตัดสินใจว่า "เอาล่ะ ลองดูละกัน"



ฉันเปิดใจและเชื่อความเป็นไปได้ว่าออลลี่จะต้องกลับมา โดยขอให้มันไม่เพียงกลับมาเกิดบนโลกนี้เท่านั้น แต่ให้กลับมาหาฉันโดยเฉพาะ

เป็นเวลาหลายเดือนที่ฉันพูดคุยกับเขาในมิติที่ไม่ใช่ทางกายผ่านนักสื่อสารกับสัตว์ (ผู้ที่สามารถสื่อสารกับจิตวิญญาณของสัตว์ที่ตายไปแล้วได้ มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหนังสือต่างประเทศ และช่องบางช่องใน Youtube ) ที่ฉันไว้วางใจ 

ฉันดีใจอย่างมากเมื่อออลลี่บอกว่า มัน (ต่อไปขอเรียกแทนมันว่า "เขา" นะ ใช้มันแล้วรู้สึกแปลก ๆ ดูความผูกพันน้อยลง อีกทั้งต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า He ด้วยแหละ ไม่ใช่ it) อยู่ในท้องของแม่แมวตัวหนึ่ง รอคอยที่จะเกิดมา แต่เมื่อเพื่อนนักสื่อสารของฉันติดต่อกับเขาอีกครั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมา ก็เกิดบางสิ่งผิดพลาดขึ้น

เขาบอกว่าไม่มีความอบอุ่นหรือแสงสว่างในร่างกายของแม่แมวแล้ว ฉันและนักสื่อสารแนะนำให้เขากลับไปยังดินแดนแห่งจิตวิญญาณและลองใหม่อีกครั้ง 
ฉันยังคงติดตาม ออลลี่ผ่านนักสื่อสาร หลังจากความพยายามที่ล้มเหลว ในที่สุดเขาก็เกิดมาอีกครั้ง คราวนี้เขาเป็นลูกแมวที่ถูกทิ้ง ครอบครัวหนึ่งได้ช่วยเขาและพี่น้องของเขาจากคูน้ำข้างถนน และเลี้ยงพวกเขาในห้องซักรีด

นักสื่อสารถามเขาว่าเขาเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย และให้มองไปที่ขาและอุ้งเท้าของเขาเพื่อตอบ เธอได้รับภาพจิตของลูกแมวตัวผู้ ลายสีเทาดำและลายเสือ มีอุ้งเท้าขาว แต่ก็แนะนำให้ฉันเปิดใจกว้างไว้ แม้ว่าเพื่อนของฉันจะมีพรสวรรค์มาก แต่ไม่มีนักสื่อสารสัตว์คนใดที่สามารถรับประกันความถูกต้องได้ 100%

ดังนั้นฉันจึงมีภาพกว้าง ๆ ไว้ว่าลูกแมวตัวนี้น่าจะมีลักษณะอย่างไร แต่ฉันไม่มีทางรู้แน่ว่า ออลลี่และฉันจะกลับมาเจอกันอย่างไร มันกลายเป็นเรื่องของความอดทนและความไว้วางใจในพลังหรือสิ่งที่สูงกว่าโลกกายภาพนี้

วันหนึ่ง โดยไม่มีสัญญาณใด ๆ บอกล่วงหน้า ฉันรู้ว่าฉันต้องโทรหานักสื่อสารของฉันตอนนี้ และเมื่อเธอลองสื่อสารดู เธอบอกว่า ออลลี่กำลังตื่นตกใจ 

"ช่วยด้วย!" เขาร้องออกมา 
"ฉันอยู่ในศูนย์พักพิงสัตว์! ในกรง!"

ฉันไม่รู้ว่าฉันรู้ได้อย่างไร แต่ฉันรู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาอยู่ในศูนย์พักพิงใด 
ฉันขอให้นักสื่อสารบอก ออลลี่ว่าฉันกำลังจะไปหาเขา และให้เขาพยายามทำตัวให้คนอื่นไม่สังเกตเห็นเท่าที่ทำได้จนกว่าฉันจะไปถึง และให้เขาแสดงตัวให้ฉันรู้ชัดเจนว่าเป็นเขา เมื่อฉันเดินเข้าไปในอาคาร เขาบอกว่าเขาจะทำให้ดีที่สุด

ฉันรู้สึกประหม่าอย่างมากระหว่างขับรถไปที่ศูนย์พักพิง และเมื่อฉันเดินเข้าไปในอาคาร ฉันเห็นลูกแมวเกือบห้าสิบตัว หัวใจของฉันแบบสลาย ฉันเดินผ่านกรงแล้วกรงเล่า กรงแต่ละกรงเต็มไปด้วยลูกแมวน่ารักที่นอนขดกันอยู่ ฉันจะหาเขาเจอได้อย่างไร

ทันใดนั้น เสียงร้องแหลมสูงจากห้องข้าง ๆ ทำลายความเงียบลง ฉันเข้าไปและท่ามกลางกรงของลูกแมวที่กำลังนอนหลับอยู่ ฉันเห็นลูกแมวสีเทาและดำตัวเล็ก ๆ ที่ยังตื่นอยู่ชัดเจน 

เขากำลังกรีดร้องสุดเสียงอย่างหมดหวัง ปีนป่ายกรง ร้องขอและเอื้อมมือด้วยอุ้งเท้าขาวเล็ก ๆ ของเขามาหาฉันผ่านซี่กรงเหล็กเย็น ๆ นั้น

“ฉันจะเอาตัวนั้น” 

ฉันบอกกับอาสาสมัครที่ศูนย์พักพิง หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฉันโทรหานักสื่อสารสัตว์ของฉัน ยังคงมีความสงสัยเล็กน้อยว่าฉันได้รับ ออลลี่กลับมาแล้วจริง ๆ หรือไม่
 
เธอสื่อสารกับฉันโดยบอกว่า คำแรกที่ออลลี่พูดคือ 

“ฉันภูมิใจในตัว Nancy มาก เธอเลือกฉันออกจากบรรดาแมวอื่น ๆ ทันที!”

ฉันหัวเราะ เขาคือ ออลลี่แน่นอน เขายังบอกอีกว่าคราวนี้เขาอยากมีเพื่อน ดังนั้นถ้าฉันไม่รังเกียจที่จะพาลูกแมวตัวอื่นมาอยู่กับเขา เขาจะดีใจมาก และเขาเสริมว่าเขาอยากได้ชื่อใหม่ 


ภาพ Miles (ก่อนหน้านี้ชื่อ Tiger) กำลังเลีย Phoenix (ก่อนหน้านี้ชื่อ Ollie)

ฉันตัดสินใจตั้งชื่อใหม่ให้ออลลี่ว่าฟินิกซ์ (Phoenix) ซึ่งท้ายที่สุด เขาได้ฟื้นคืนชีพจากกองเถ้าถ่านแล้ว วันต่อมา ฉันเห็นโฆษณาว่า “ลูกแมวฟรีให้บ้านที่พร้อม(ดี)” 
(ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Free Kittens to a Good) ฉันโทรไปถามว่าพวกเขาจะรังเกียจไหมถ้าฉันพาเจ้าแมวของฉันไปและให้มันเลือกเพื่อนเอง 

ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะและตอบตกลงทันที ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงฟินิกซ์ (เดิมคือออลลี่) และเพื่อนใหม่ของเขาคือไมลส์ Miles ก็กำลังกลิ้งไปมา วิ่งไล่กันไปทั่วห้อง หางพองและวิ่งเบี้ยวไปมาข้ามพื้น

มันเกิดความรู้สึกแปลก   ๆ ในทุกครั้งที่ฉันอุ้มไมลส์ (Miles) ตัวน้อยในอ้อมแขน ความทรงจำของลูกแมวลายเสือฟู ๆ ที่ฉันสูญเสียไปตอนเป็นเด็กกลับมาเติมเต็มหัวใจของฉัน 

ฉันโทรหานักสื่อสารสัตว์อีกครั้งหนึ่ง เธอบอกฉันว่า ไมลส์สื่อสารว่า

“ฉันขอโทษจริง ๆ ที่ฉันหายตัวไปตอนที่เธอยังเด็ก 
ฉันถูกรถชนและไม่มีทางกลับไปหาเธอได้...จนกระทั่งตอนนี้”

ภาพ Nancy กับ Miles (ก่อนหน้านี้ชื่อ Tiger - แมวของฉันในปี 1963)

บางครั้งฉันก็คงยังสงสัยนะ ฉันคิดว่านั่นคงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ละมั้ง แต่เมื่อฉันอุ้มไมลส์ (Miles) ขึ้นมาและเขาซบลงในอ้อมแขนของฉันในแบบเดียวกับลูกแมวลายเสือที่ฉันเคยสูญเสียไปกว่า 45 ปีที่แล้ว หรือเมื่อ Phoenix (หรือชาติก่อนคือออลลี่) กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะเหล็กดัดที่ฉันตั้งไว้ในห้องเขียนหนังสือของฉัน ซึ่งเป็นโต๊ะเดียวกันกับที่เคยวางถ้วยอาหารของออลลี่ เขาจะสอดหัวเข้าไปในชามทิเบตที่ประดับลวดลายแล้วทำท่าทางว่า "ถ้วยอาหารของฉันยังว่างนะ"
เขาฉลาดแบบนี้เสมอเลย  




เพลงที่ฉันฟังระหว่างเขียนบทความนี้

สมิทธิ  อินทร์พิทักษ์
๑๕  ตุลาคม  ๒๕๖๗
บทความนี้ทำเอาซึ้งจนร้องไห้เลยอ่าาาาาาาา
น้องแมวพยายามมาก ๆ ที่จะกลับมาหาเจ้าของอะ แงงงงงงงงงงงง




ความคิดเห็น