พ่อ: “จอห์น ลูกบอกพ่ออีกครั้งได้ไหมว่าฝันถึงอะไรบ้างเมื่อคืน”
จอห์น: “ผมฝันว่าอยู่ในตึกสูงมาก แล้วมีเครื่องบินลำใหญ่บินเข้ามาชน มันมีเสียงดังและไฟลุกเต็มไปหมด”
แม่: “ลูกจำได้ไหมว่าตึกนั้นอยู่ที่ไหน”
จอห์น: “ที่นิวยอร์ก ผมทำงานอยู่ในนั้น มีออฟฟิศอยู่ชั้นสูง ๆ แล้วก็มีโต๊ะทำงานใหญ่ด้วย”
พ่อ: “ลูกจำชื่อของลูกในฝันนั้นได้ไหมจ๊ะ”
จอห์น: “ผมชื่อสตีเฟน ผมมีภรรยาและลูกสาวอยู่ที่บ้านด้วย แต่ผมไม่ได้กลับไปหาเขาอีกเลย”
แม่: “ลูกจำอะไรเกี่ยวกับภรรยาและลูกสาวได้ไหม”
จอห์น: “เธอมีผมยาวสีดำ และลูกสาวผมก็รักเธอมาก ผมเสียใจที่จากพวกเขาไปโดยไม่ได้ล่ำลา”
บทสนทนานี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของเด็กที่สามารถจำอดีตชาติของตัวเองในเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมตึกวอเทรดเซ็นเตอร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ การจำอดีตชาติของเด็ก ที่ได้รับความสนใจในวงการวิชาการมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันอยากเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย แต่ยังคงเน้นข้อมูลในเชิงวิชาการให้พอเข้าใจและดูเป็นศาสตร์
การจำอดีตชาติของเด็กมักเกิดขึ้นในช่วงอายุระหว่าง 2-5 ขวบ เด็ก ๆ จะเล่าเรื่องราวในอดีตด้วยความมั่นใจเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องของตัวเองเลย บางคนบอกเล่ารายละเอียดที่คนทั่วไปอาจจะนึกไม่ถึง ทั้งชื่อสถานที่ ชื่อบุคคล เหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งบางครั้งเป็นเรื่องที่พ่อแม่หรือคนใกล้ตัวก็ไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อน
หนึ่งในนักวิจัยที่ทำงานด้านนี้อย่างจริงจังคือ ดร.เอียน สตีเวนสัน นักจิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ดร.สตีเวนสันศึกษากรณีเด็กหลายพันคนที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตชาติ เขาสนใจศึกษาความแม่นยำของรายละเอียดในคำบอกเล่าของเด็ก ๆ ว่าตรงกับข้อมูลในประวัติศาสตร์จริง ๆ หรือไม่ และที่น่าสนใจคือ บ่อยครั้งที่ข้อมูลจากเด็กตรงกับประวัติของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะในกรณีที่บุคคลนั้นเสียชีวิตในลักษณะที่ไม่คาดฝัน เช่น อุบัติเหตุหรือการฆาตกรรม
ตัวอย่างที่ฉันอยากเล่าให้ฟังคือ กรณีของเด็กชายคนหนึ่งในอินเดียที่บอกเล่าเรื่องราวว่าเขาเคยเป็นช่างทำเครื่องประดับ เขาบอกรายละเอียดเกี่ยวกับร้านของตัวเองและสมาชิกในครอบครัวจากอดีตชาติที่เขาจำได้ ซึ่งเมื่อทีมวิจัยลงพื้นที่สืบค้น พวกเขาพบว่ามีช่างทำเครื่องประดับที่เสียชีวิตในลักษณะที่เด็กคนนี้เล่า และข้อมูลที่เด็กเล่ามาก็สอดคล้องกับประวัติชีวิตของช่างทำเครื่องประดับคนนั้นอย่างน่าทึ่ง
นักวิจัยบางคนตั้งสมมติฐานว่า การจำอดีตชาติของเด็กอาจเป็นผลจากจิตใต้สำนึกหรือจิตวิญญาณที่ยังไม่ขาดจากอดีตโดยสมบูรณ์ พวกเขาเชื่อว่าเด็กในวัยนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณมากกว่าผู้ใหญ่ จึงสามารถจำเหตุการณ์หรือประสบการณ์ในอดีตชาติได้ แต่เมื่อเติบโตขึ้น การรับรู้เกี่ยวกับอดีตชาติมักจะค่อย ๆ เลือนหายไป เพราะการเรียนรู้และการปรับตัวในชีวิตปัจจุบัน
การศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับการจำอดีตชาติของเด็กนี้ แม้จะยังไม่อาจพิสูจน์ได้ทั้งหมดในแง่วิทยาศาสตร์ แต่ก็ได้สร้างมุมมองที่เปิดกว้างขึ้นต่อความซับซ้อนของจิตวิญญาณ และชวนให้คิดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับชีวิตและการกลับมาเกิดใหม่
มีตัวอย่างหนึ่งที่ฉันอยากเล่าให้ฟัง เป็นกรณีของ เจมส์ ไลนิแกน (James Leininger) เด็กชายชาวอเมริกันที่สามารถจำรายละเอียดในอดีตชาติของตัวเองได้ตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ เรื่องราวของเจมส์ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ Soul Survivor ซึ่งเขียนโดยพ่อแม่ของเขาเอง
เจมส์เริ่มมีอาการฝันร้ายบ่อยครั้ง ในฝันนั้นเขามักจะตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจและกรีดร้องออกมาว่าเครื่องบินตก ไฟลุกไหม้ และเขาติดอยู่ภายในเครื่องบิน เขาจะเล่าเรื่องราวนี้ซ้ำ ๆ และพูดว่าเครื่องบินของเขาถูกยิงตกโดยศัตรู เขายังพูดถึงรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ชื่อเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขาประจำอยู่ว่า “Natoma” และชื่อเพื่อนทหารคนหนึ่งว่า “Jack Larsen”
พ่อแม่ของเจมส์รู้สึกประหลาดใจกับข้อมูลเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่เคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองให้ฟังเลย และเจมส์เองก็ยังเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องนี้ได้ พ่อของเจมส์จึงเริ่มค้นคว้าข้อมูล และพบว่าในสงครามโลกครั้งที่สอง มีเรือบรรทุกเครื่องบินชื่อ USS Natoma Bay จริง ๆ นอกจากนี้ เขายังพบรายชื่อของนักบินที่เสียชีวิตในการรบ และพบว่ามีทหารชื่อ เจมส์ ฮัสตัน จูเนียร์ (James Huston Jr.) ที่เสียชีวิตเมื่อเครื่องบินถูกยิงตก
เมื่อเจมส์ ไลนิแกนเห็นรูปถ่ายเก่าของเครื่องบินที่ถูกใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาสามารถบอกได้ว่าส่วนไหนของเครื่องบินนั้นเป็นอะไรและแม้กระทั่งบอกถึงรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงในเครื่องบินรบชนิดนั้น ซึ่งเขาไม่ควรจะรู้
ในเวลาต่อมา เจมส์บอกว่าเขาเคยเป็นนักบิน และถูกยิงตกในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ครอบครัวของเขารู้สึกตกตะลึงกับข้อมูลที่สอดคล้องกับประวัติจริงของทหารอเมริกันคนหนึ่งที่ชื่อว่าเจมส์ ฮัสตัน จูเนียร์ ซึ่งเป็นนักบินที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สอง
กรณีของเจมส์ ไลนิแกนจึงกลายเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในการศึกษาด้านการจำอดีตชาติของเด็กและได้รับความสนใจในวงการวิชาการเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด
อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือกรณีของ ชันติ เทวี (Shanti Devi) เด็กหญิงชาวอินเดียที่เริ่มเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตชาติของตนเองตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ในปี ค.ศ. 1930 ชันติเริ่มบอกพ่อแม่ของเธอว่าเธอเคยมีสามีและลูกชาย โดยบอกว่าเธอเคยอาศัยอยู่ในเมืองชื่อ มถุรา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเธอในกรุงนิวเดลีไปหลายร้อยกิโลเมตร เธออธิบายรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้านและครอบครัวในอดีตอย่างละเอียด แม้กระทั่งชื่อสามีของเธอว่า เกดาร์ นาถ (Kedar Nath)
พ่อแม่ของเธอรู้สึกสงสัยกับเรื่องราวเหล่านี้และไม่แน่ใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่ แต่เมื่อชันติยังคงยืนกรานและให้รายละเอียดมากขึ้นเรื่อย ๆ พ่อแม่ของเธอจึงตัดสินใจทำการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์สิ่งที่เธอเล่า
หลังจากทำการตรวจสอบ พบว่ามีชายชื่อเกดาร์ นาถที่อาศัยอยู่ในเมืองมถุราจริง ๆ และภรรยาของเขาเสียชีวิตไปหลายปีก่อนหน้านี้ตามที่ชันติบอก เมื่อนายเกดาร์ นาถเดินทางมาพบกับชันติ เขารู้สึกตกตะลึงเมื่อเธอสามารถบอกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตคู่ของเขากับภรรยาที่เสียชีวิตได้อย่างถูกต้อง เธอยังเล่าเรื่องราวบางเรื่องที่เป็นความลับระหว่างเขากับภรรยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้
กรณีของชันติ เทวีได้รับความสนใจในระดับนานาชาติ และมีคณะผู้เชี่ยวชาญหลายกลุ่มเดินทางมาสัมภาษณ์และศึกษาเกี่ยวกับเธอ หนึ่งในนั้นคือ มหาตมะ คานธี ซึ่งก็แสดงความสนใจในกรณีนี้และจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ชันติเล่า
กรณีของชันติ เทวี กลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของการจำอดีตชาติของเด็กที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และยังคงได้รับการศึกษาและพูดถึงในวงการวิชาการจนถึงปัจจุบัน
หนังสือที่เกี่ยวข้องกับการจำอดีตชาติและประสบการณ์ในอดีตชาติของเด็กมีหลายเล่มที่ได้รับความสนใจและศึกษาในวงการวิชาการและจิตวิญญาณ โดยหนังสือเหล่านี้รวบรวมข้อมูลและกรณีศึกษาที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น Children Who Remember Previous Lives โดย ดร.เอียน สตีเวนสัน
ดร.สตีเวนสันเป็นผู้บุกเบิกในการศึกษาเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดของเด็ก หนังสือเล่มนี้รวมกรณีศึกษาที่ดร.สตีเวนสันได้รวบรวมจากหลายประเทศ ทั้งจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยมีการนำเสนอข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งรายละเอียดที่เด็กบอกเล่าและการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่เขาได้ทำเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของข้อมูล
เล่มต่อมาคือ Soul Survivor: The Reincarnation of a World War II Fighter Pilot โดย Bruce และ Andrea Leininger หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของเจมส์ ไลนิแกน เด็กชายที่จำอดีตชาติของเขาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างแม่นยำ โดยหนังสือเล่มนี้เขียนโดยพ่อแม่ของเจมส์ ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของลูกชายและประสบการณ์ในการสืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับอดีตชาติของเขา
อีกเล่มคือ Life Before Life: Children’s Memories of Previous Lives โดย ดร.จิม ทักเกอร์ ดร.จิม ทักเกอร์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดงานวิจัยของดร.สตีเวนสันที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ได้รวบรวมและวิเคราะห์กรณีศึกษาจำนวนมากของเด็กที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตชาติ หนังสือเล่มนี้นำเสนอข้อมูลในเชิงวิชาการ โดยอธิบายแนวคิดและการวิจัยอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งข้อสันนิษฐานทางจิตวิทยาและชีวภาพ
Old Souls: The Scientific Evidence For Past Lives โดย Tom Shroder หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยนักข่าวที่ติดตามงานของดร.สตีเวนสันและได้เดินทางไปสำรวจกรณีศึกษาหลายกรณีร่วมกับเขา หนังสือเล่มนี้เล่าถึงกระบวนการสืบสวนข้อเท็จจริงและประสบการณ์ที่พบเจอระหว่างการศึกษา ช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความซับซ้อนในการวิจัยเกี่ยวกับอดีตชาติในเชิงวิทยาศาสตร์
Many Lives, Many Masters โดย ดร.ไบรอัน ไวส์ (Dr. Brian Weiss) หนังสือเล่มนี้แตกต่างเล็กน้อยเพราะเป็นการเล่าถึงประสบการณ์การบำบัดผู้ป่วยที่จำอดีตชาติได้ผ่านการสะกดจิตบำบัด ดร.ไวส์ เป็นจิตแพทย์ที่ไม่เคยเชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่หลังจากเขาพบกรณีของผู้ป่วยที่สามารถเล่าเรื่องอดีตชาติได้อย่างละเอียด ก็ทำให้เขาเปลี่ยนมุมมอง หนังสือเล่มนี้นำเสนอกรณีที่อาจช่วยอธิบายว่าอดีตชาติสามารถมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ในชีวิตปัจจุบันได้
ต่อไปจะลงลึกมาที่เรื่อง กี่ภพ กี่ชาติ ซึ่งแปลมาจาก Old Souls: The Scientific Evidence For Past Lives เขียนโดย Tom Shroder เป็นหนังสือที่น่าสนใจเพราะนำเสนอการศึกษาเรื่องการกลับชาติมาเกิดในเชิงลึก โดย Tom Shroder นักข่าวและบรรณาธิการที่ได้รับการยอมรับ ได้ติดตามและบันทึกการทำงานของ ดร.เอียน สตีเวนสัน นักจิตแพทย์ผู้บุกเบิกการวิจัยเรื่องอดีตชาติจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย
ในหนังสือ Old Souls ผู้เขียนคือ Shroder ได้เดินทางไปกับดร.สตีเวนสันในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา เลบานอน และที่อื่น ๆ เพื่อเก็บข้อมูลและตรวจสอบกรณีศึกษาของเด็กที่จำอดีตชาติได้ เด็กเหล่านี้มักเล่าเรื่องราวในอดีตชาติที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ ชื่อคน และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ดูเหมือนพวกเขาจะรู้จริง ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรมีข้อมูลเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำ
Shroder บรรยายถึงกระบวนการวิจัยที่ละเอียดและรอบคอบของดร.สตีเวนสัน ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยายามหาหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าเรื่องราวที่เด็กเล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่ ดร.สตีเวนสันจะสัมภาษณ์เด็ก ครอบครัวของเด็ก และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการตรวจสอบสถานที่ที่เด็กอ้างถึง เพื่อหาข้อมูลยืนยัน นอกจากนี้เขายังพยายามหาปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้เด็กมีความเชื่อว่าตนเคยมีอดีตชาติ
หนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทในการค้นหาความจริงของดร.สตีเวนสันที่มีต่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด แม้เขาจะถูกตั้งคำถามในแง่วิทยาศาสตร์ แต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะค้นคว้าต่อไปอย่างเป็นกลาง Shroder พยายามอธิบายให้เห็นถึงความซับซ้อนในการศึกษาปรากฏการณ์นี้ ทั้งในด้านการสืบค้นข้อมูล ความยากลำบากในการตรวจสอบหลักฐาน รวมถึงความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่อาจเกิดขึ้นเมื่อต้องสัมภาษณ์ผู้คนในประเทศต่าง ๆ
การเขียนของ Shroder ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ถึงความท้าทายและความมุ่งมั่นของนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องการกลับชาติมาเกิด และทำให้ผู้อ่านมีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้นเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ ขณะเดียวกันก็ยังนำเสนอประสบการณ์การเดินทางและการเผชิญกับเรื่องราวที่น่าประหลาดใจของเด็ก ๆ และครอบครัวที่เกี่ยวข้อง หนังสือเล่มนี้จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องการกลับชาติมาเกิดและการจำอดีตชาติ
ในหนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างกรณีศึกษาที่ดร.เอียน สตีเวนสันและทีมงานได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียดและพบข้อมูลที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับการจำอดีตชาติของเด็ก ๆ ซึ่งทำให้ปรากฏการณ์นี้ได้รับการสนใจในวงการวิชาการ ตัวอย่างบางกรณีที่นำเสนอในหนังสือ เช่น กรณีของเด็กหญิงชาวเลบานอน เด็กหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ อิมาดา (Imada) เกิดและเติบโตในหมู่บ้านชนบทของเลบานอน เธอเริ่มพูดถึงอดีตชาติเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ เธอบอกว่าตนเองเคยเป็นผู้หญิงที่ชื่อว่า จาเมีย (Jamila) ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ กัน อิมาดาบรรยายรายละเอียดของชีวิตในอดีตได้อย่างชัดเจน ทั้งชื่อของสมาชิกในครอบครัวของจาเมีย และแม้กระทั่งการอธิบายถึงบ้านของจาเมียและการตกแต่งภายในบ้าน
เมื่อดร.สตีเวนสันและทีมงานลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่ามีคนชื่อจาเมียที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้นจริง ๆ และเธอเสียชีวิตไปก่อนที่อิมาดาจะเกิด รายละเอียดเกี่ยวกับบ้านของจาเมียที่อิมาดาพูดถึง เช่น สีของผ้าม่านและการจัดวางของตกแต่งต่าง ๆ ตรงกับบ้านของจาเมียอย่างแม่นยำ ครอบครัวของจาเมียเองรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าอิมาดาสามารถบอกถึงรายละเอียดที่แม้แต่คนในหมู่บ้านอื่น ๆ ก็ไม่น่าจะรู้ได้ ทำให้กรณีนี้ได้รับการบันทึกไว้เป็นหนึ่งในกรณีที่แสดงถึงการจำอดีตชาติที่มีความแม่นยำสูง
ดร.สตีเวนสัน: “หนูจำอะไรเกี่ยวกับชีวิตของจาเมียได้บ้างจ๊ะ”
อิมาดา: “ฉันจำได้ว่าบ้านของเรามีผ้าม่านสีเขียวอยู่ตรงหน้าต่าง แล้วก็มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่กลางห้อง”
ดร.สตีเวนสัน: “แล้วหนูจำได้ไหมว่าในบ้านมีใครอยู่บ้าง”
อิมาดา: “มีสามีของฉัน ลูกชายของเรา แล้วก็แม่ของฉันอยู่ด้วย ฉันรักพวกเขามาก แต่ฉันก็จากพวกเขาไปเร็วเกินไป”
ดร.สตีเวนสัน: “หนูบอกได้ไหมว่าบ้านของจาเมียอยู่ที่ไหน”
อิมาดา: “บ้านของเราตั้งอยู่ใกล้เนินเขา ที่นั่นมีดอกไม้สีขาวปลูกอยู่ข้าง ๆ บ้าน”
ตัวอย่างกรณีของเด็กชายชาวอินเดีย
ดร.สตีเวนสัน: “ราวี หนูเล่าให้พ่อฟังอีกครั้งได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมฮัน?”
ราวี: “โมฮันถูกทำร้ายตอนที่เขาเดินกลับบ้าน มีคนเข้ามาทำร้ายเขาจนเขาล้มลง เขาเจ็บมาก แต่ไม่มีใครช่วยได้”
ดร.สตีเวนสัน: “หนูรู้ได้อย่างไรว่าคนทำร้ายโมฮันเป็นใคร?”
ราวี: “ฉันเห็นเขาในความทรงจำ เขาเป็นคนที่ฉันรู้จัก แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้จักเขาแล้ว”
ดร.สตีเวนสัน: “แล้วหนูรู้สึกอย่างไรเมื่อคิดถึงเรื่องนี้?”
ราวี: “ฉันเสียใจมาก ฉันอยากให้เขารู้ว่าฉันไม่โกรธเขาอีกแล้ว”
ในกรณีนี้เด็กชายชาวอินเดียที่ชื่อ ราวี (Ravi) เริ่มพูดถึงอดีตชาติเมื่ออายุประมาณ 4 ขวบ เขาบอกว่าเขาเคยเป็นชายหนุ่มชื่อ โมฮัน (Mohan) ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านห่างไกลจากบ้านของเขาปัจจุบัน ราวีเล่าว่าโมฮันถูกฆาตกรรมอย่างไม่คาดคิดในคืนหนึ่งเมื่อเขาเดินกลับบ้าน ราวีจำรายละเอียดของเหตุการณ์นี้ได้ชัดเจน และเล่าให้ครอบครัวฟังเกี่ยวกับสถานที่ที่เกิดเหตุ ลักษณะของคนที่ทำร้ายเขา และบอกว่าบ้านของโมฮันอยู่ใกล้กับวัดในหมู่บ้านนั้น
ดร.สตีเวนสันและทีมงานเดินทางไปยังหมู่บ้านที่ราวีบอก และพบว่ามีชายชื่อโมฮันที่เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันกับที่ราวีเล่าไว้ ทั้งที่รายละเอียดนี้เป็นเรื่องที่แม้แต่ครอบครัวของราวีก็ไม่เคยรู้มาก่อน นอกจากนี้ ราวียังสามารถชี้จุดที่เขาเคยถูกทำร้ายและเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับครอบครัวของโมฮันและชาวบ้านในพื้นที่ กรณีของเด็กหญิงชาวศรีลังกา ชื่อ พรียา (Priya) เริ่มพูดถึงชีวิตในอดีตเมื่อเธออายุประมาณ 5 ขวบ เธอเล่าว่าตนเคยเป็นผู้หญิงที่ชื่อ สันดรา (Sandra) ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ไกลออกไป พรียาสามารถระบุชื่อของสมาชิกในครอบครัวเก่าของเธอ รวมถึงลักษณะของบ้านและที่ดินที่เธอเคยอาศัยอยู่ เธอบอกว่าบ้านของเธอมีสวนขนาดใหญ่ และมีต้นไม้เฉพาะที่เธอปลูกไว้
เมื่อทีมวิจัยของดร.สตีเวนสันลงพื้นที่หมู่บ้านที่พรียาอ้างถึง พบว่ามีหญิงชื่อสันดราที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวและเสียชีวิตไปก่อนพรียาจะเกิด พรียาสามารถบอกถึงรายละเอียดของต้นไม้ที่ปลูกในสวน ซึ่งตรงกับลักษณะของสวนที่มีอยู่ในบ้านของสันดราในปัจจุบัน แม้แต่สมาชิกในครอบครัวของสันดราเองก็รู้สึกแปลกใจเมื่อพรียาเล่าถึงความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในอดีตซึ่งตรงกับความจริงในหลายจุด
ดร.สตีเวนสัน: “พรียา หนูจำอะไรเกี่ยวกับบ้านของสันดราได้บ้างจ๊ะ”
พรียา: “บ้านนั้นมีสวนใหญ่มาก ฉันปลูกต้นไม้เองหลายต้น และมีดอกไม้สวย ๆ เต็มไปหมด”
ดร.สตีเวนสัน: “หนูจำได้ไหมว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง”
พรียา: “มีต้นมะม่วง แล้วก็มีต้นไม้ที่ฉันรักมาก มันเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีร่มเงา ฉันเคยชอบนั่งเล่นใต้ต้นไม้นั้น”
ดร.สตีเวนสัน: “แล้วบ้านของสันดราอยู่ที่ไหนจ๊ะ”
พรียา: “อยู่ใกล้แม่น้ำ ที่นั่นมีสะพานเล็ก ๆ ที่ฉันชอบเดินข้ามไปอีกฝั่ง”
ตัวอย่างเหล่านี้ในหนังสือ Old Souls แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำในข้อมูลและรายละเอียดที่เด็กแต่ละคนเล่าเกี่ยวกับชีวิตในอดีตชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและชวนให้ตั้งคำถามถึงการกลับชาติมาเกิดและการจดจำอดีตชาติ โดย Tom Shroder ได้นำเสนอกระบวนการศึกษาและความทุ่มเทของดร.สตีเวนสันอย่างละเอียด ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงความซับซ้อนและความน่าสนใจในปรากฏการณ์นี้
ตัวอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ในเหตุการณ์ 9/11 เป็นเรื่องของเด็กชายที่ชื่อ บิลลี่ (Billy) ซึ่งเล่าเรื่องราวในอดีตชาติที่น่าประหลาดใจให้ครอบครัวฟังตั้งแต่อายุประมาณ 4 ขวบ
บิลลี่เริ่มมีฝันร้ายบ่อยครั้ง โดยเขามักจะฝันถึงการอยู่ในอาคารสูงและเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว เขามักจะตื่นขึ้นมากลางดึกและเล่าถึงภาพของ “อาคารที่สูงมาก” และ “การล่มสลาย” ที่เขาเห็นในฝัน เมื่อพ่อแม่ถามถึงรายละเอียดเพิ่มเติม บิลลี่จะเล่าถึงการอยู่ใน “ห้องทำงานสูง ๆ” และบอกว่ามี “ควันและไฟ” ทั่วบริเวณ เขายังพูดถึง “การกระโดดลงมา” และแสดงความรู้สึกกังวลเหมือนกำลังเจ็บปวดจากเหตุการณ์นั้น
เมื่อครอบครัวของเขาสังเกตเห็นว่าบิลลี่สามารถอธิบายเรื่องราวได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอาคารสูง พวกเขาเริ่มสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม บิลลี่บอกว่าชื่อของเขาในอดีตชาติคือ “สตีเฟน” และเขาเคยทำงานใน “ตึกแฝด” ในเมืองใหญ่ที่ชื่อ “นิวยอร์ก” เขายังเล่าอีกว่าเขาจำได้ว่ามีการ “ชนของเครื่องบิน” เข้ากับอาคารซึ่งนำมาซึ่งความโกลาหล และสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือเขารู้สึกถึง “แรงกระแทก” ที่ทำให้เขาเสียชีวิต
ครอบครัวของบิลลี่รู้สึกทึ่งกับรายละเอียดที่เขาบอกเล่า เพราะเหตุการณ์และสถานที่ที่บิลลี่พูดถึงสอดคล้องกับเหตุการณ์ในวันที่ 11 กันยายน 2001 ที่เกิดการโจมตีอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) ในมหานครนิวยอร์ก นอกจากนี้บิลลี่ยังสามารถเล่ารายละเอียดที่คนทั่วไปไม่น่าจะรู้ เช่น รูปแบบของห้องทำงานบางส่วน และทัศนียภาพจากชั้นสูง ๆ ของอาคาร ซึ่งเขาไม่เคยมีโอกาสได้เห็นจริง ๆ
เรื่องราวนี้ทำให้ครอบครัวของบิลลี่สงสัยถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่พิสูจน์ว่าบิลลี่เคยมีอดีตชาติเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 9/11 แต่มุมมองจากจิตวิญญาณและการสังเกตพฤติกรรมของเขาได้จุดประกายความสนใจในวงการวิจัยด้านอดีตชาติ
ตัวอย่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติจากเหตุการณ์ 9/11 ได้มีการรายงานอยู่บ้าง แม้ว่าจะยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แน่ชัด แต่เรื่องราวเหล่านี้ได้จุดความสนใจและนำไปสู่การศึกษาด้านจิตวิญญาณและการกลับชาติมาเกิด ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ กรณีของ จอห์น (John) จอห์นเริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับอดีตชาติเมื่ออายุได้ 3 ขวบ เขามักจะพูดถึงตึกสูงและเหตุการณ์การล่มของอาคาร พ่อแม่ของเขาสังเกตเห็นว่าเขามักจะบอกว่าเขา “เคยอยู่ในตึกที่ล้มลง” และมีอาการฝันร้ายเกี่ยวกับการตกจากที่สูง จอห์นยังเล่าว่าเขาทำงานอยู่ใน “ออฟฟิศสูง ๆ” และบอกว่าตน “มีภรรยาและลูกสาว”
เมื่อพ่อแม่สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จอห์นบอกว่าเขาจำชื่อตึกไม่ได้ แต่บอกว่าตึกนั้น “อยู่ในนิวยอร์ก” และเขามักจะพูดถึง “เครื่องบินที่พุ่งเข้ามา” รายละเอียดเหล่านี้ทำให้พ่อแม่เริ่มเชื่อว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 9/11 และได้ลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม แม้จะไม่มีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัดว่าเขาคือใครในอดีตชาติ แต่กรณีนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักจิตวิทยาหลายคนที่ศึกษาปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิด โดยเฉพาะ ดร.จิม ทักเกอร์ ซึ่งเชื่อว่าเด็กบางคนอาจจำเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจรุนแรงในอดีตชาติได้
เรื่องราวของเด็กที่อ้างว่าจำอดีตชาติได้ทำให้เราต้องทบทวนถึงความซับซ้อนของจิตวิญญาณและความทรงจำที่อาจมีมากกว่าที่เรารับรู้ บางคนสามารถเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสในชีวิตปัจจุบัน ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะเกิดมา สถานที่ที่ไม่เคยไป หรือแม้กระทั่งชื่อของบุคคลและครอบครัวในอดีตชาติ เหตุการณ์เหล่านี้ชวนให้เราไตร่ตรองว่า ความทรงจำของมนุษย์เป็นเพียงผลผลิตของสมองจริงหรือ หรือว่าอาจมีมิติอื่นที่เราไม่สามารถเห็นได้
คำถามคือ หากเด็กเหล่านี้สามารถจำอดีตชาติได้จริง เราควรเปิดใจยอมรับถึงความเป็นไปได้ของการกลับชาติมาเกิดหรือไม่ และการระลึกชาติเหล่านี้จะมีความหมายอย่างไรต่อการทำความเข้าใจความหมายของชีวิตและการดำรงอยู่ของเรา
สมิทธิ อินทร์พิทักษ์
บางขุนเทียน
30 ตุลาคม พ.ศ. 2567
หนังสือแนะนำ
Tucker, Jim B. Life Before Life: A Scientific Investigation of Children’s Memories of Previous Lives. St. Martin’s Griffin, 2008.
Bowman, Carol. Children’s Past Lives: How Past Life Memories Affect Your Child. Bantam Books, 1997.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น