วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Spirited away : วิญญาณหายไป การเติบโต ตัวตนและการเปลี่ยนผ่านของเด็กในโลกแห่งทุนนิยม


Spirited away : วิญญาณหายไปการเติบโต ตัวตนและการเปลี่ยนผ่านของเด็กในโลกแห่งทุนนิยม


                                                                                                 โดย สมิทธิ อินทร์พิทักษ์  






   ภาพยนตร์เรื่อง  Spirited away  โดยสตูดิโอจิบลิได้นำเสนอเรื่องราวของ ชิฮิโร่ สาวน้อยวัย 10 ปีกำลังย้ายบ้านและย้ายโรงเรียนซึ่งเธอยังคงผูกพันอยู่กับโรงเรียนเก่าการเดินทางครั้งนี้ทำให้เธอต้องพบประสบการณ์ที่ทำให้เธอเติบโตขึ้นอย่างมาก  เมื่อพ่อเลี้ยวรถไปผิดทางและพาเธอกับแม่ไปยังอุโมงค์ซึ่งพาเธอไปสู่โลกแห่งวิญญาณและเทพเจ้า

   เปิดเรื่องมาด้วยฉากที่ชิฮิโร่นอนอยู่ที่เบาะท้ายรถ ในขณะที่พ่อกับแม่เรียกเธอตั้งหลายครั้ง “ ลูก ลูก ”
“ ชิฮิโร่ ชิฮิโร่ ”  แต่เธอก็ไม่ลุกขึ้นมา เมื่อแม่เรียกให้ดูโรงเรียนแห่งใหม่ที่เธอจะต้องเข้าเรียน ชิฮิโร่ กลับแลบลิ้นให้โรงเรียนอีกด้วย ฉากนี้ทำให้ผู้ชมรู้นิสัยพื้นฐานของชิฮิโร่ว่าเธอค่อนข้างเป็นเธอที่ดื้อรั้นอยู่บ้าง หรืออาจเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ตามใจแบบฉบับเด็กหลายๆ คนในโลกปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่เด็กนิสัยเลวร้ายอะไร

   ความคิดแรกที่แม่เธอพูดเมื่อเห็นเมืองแห่งใหม่ที่เธอย้ายมาอยู่คือ “ เมืองดูไม่เจริญเลย สงสัยต้องไปซื้อของที่เมืองอื่น” จากประโยคนี้อาจตีความได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การวิเคราะห์เรื่องทุนนิยมต่อไป

   เมื่อชิฮิโร่และครอบครัวได้ขับรถไปผิดทางจนมาจอดอยู่ที่หน้าอุโมงค์ พ่อกับแม่ตัดสินใจเดินเข้าไปในอุโมงค์นั้น ชิฮิโร่เรียกให้กลับแต่ก็ไร้ผลเมื่อพ่อกับแม่ยังคงเดินต่อไปและด้วยความกลัวรูปปั้นหินที่อยู่หน้าอุโมงทำให้เธอจำใจต้องเธอตามหลังพ่อแม่เข้าอุโมงไป ฉากนี้อาจตีความได้ว่าเมื่อว่าสิ่งที่เด็กตัดสินใจอะไรได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าพ่อแม่ยังคงทำสิ่งที่พ่อแม่ต้องการต่อไป เด็กก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินตามรอยที่พ่อแม่ก้าวเดิน 

   จากในเรื่องหนทางของพ่อและแม่คือการเดินรุกล้ำเข้าไปในเมืองของวิญญาณและกินอาหารของเทพเจ้าอย่างตะกละตะกลามจนในที่สุดพ่อแม่ก็ได้กลายเป็นหมู  การรุกล้ำเข้าไปในเมืองของวิญญาณและกินอาหารของเทพเจ้า อาจตีความได้ถึงการบริโภคหรือหลงเข้าไปในสิ่งตื่นตาตื่นใจเพราะเมืองที่เข้าไปนั่นถูกประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงามทั้งอาคารบ้านเรือนสีชมพู ฟ้า เขียว อีกทั้งอาหารน่ากินมากมายที่วางพร้อมอยู่บนโต๊ะ นี่อาจสะท้อนถึงหนทางที่เต็มไปด้วยสิ่งชักจูงมากมายให้เสพสิ่งต่างๆในแบบฉบับของทุนนิยม เมื่อพ่อแม่ของเธอหลงไปกับความสวยงาม การบริโภคที่ไม่รู้จักพอ เธอจึงต้องเดินตามพ่อแม่ไป ถึงแม้เธอจะไม่ได้กินอาหารเทพเจ้าจนกลายเป็นหมู แต่เธอก็ต้องพบกับสิ่งต่างๆมากมายรอคอยเธออยู่ข้างหน้าซึ่งสิ่งแรกที่เธอเจอการเอาชนะความมืดโดยทางที่เธอต้องเดินกลับลงไปหาพ่อแม่นั้นมืดสนิท เธอลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะวิ่งลงไปพร้อมกับแสงโคมบริเวณถนนเริ่มถูกจุด
การกลายเป็นหมูของพ่อแม่ อาจมองได้ว่าการกินหรือบริโภคอย่างตะกละตะกลามนั่นทำให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ลดน้อยลงจนไม่ต่างอะไรกับหมูตัวหนึ่ง

   ตอนที่ชิฮิโร่เจอกับฮากุครั้งแรก ฮากุ( เด็กชายคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นเทพแห่งสายน้ำแต่ได้ลืมชื่อที่แท้จริงของตัวเองไปแล้ว) บอกให้เธอกลับไป แต่ชิฮิโร่ก็ไม่สามารถกลับไปยังโลกอีกฝั่งหนึ่งของอุโมงค์ได้เพราะพ่อแม่ของเธอได้กลายเป็นหมุไปแล้ว อีกทั้งทางที่เธอมาได้กลายเป็นแม่น้ำจนไม่สามารถข้ามกลับไปได้ ในที่สุดเธอจึงต้องอยู่ในโลกแห่งวิญญาณและเรียนรู้ต่อไป

   ฉากนี้ถ้าจะตีความเรื่องการเติบโตในโลกของทุนนิยมนั้นอาจมองได้ว่า การที่เด็กจะเติบโตโดยไม่หลงใหลในความเป็นทุนนิยมหรืออยู่คนละโลกเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ เธอจะต้องอยู่ในสังคมทุนนิยมนี้ต่อไป แต่ต้องอยู่อย่างเรียนรู้และหาตัวตนของตัวเองให้เจอ ไม่หลงใหลไปจนลืมนึกถึงคุณค่าที่แท้จริงความเป็นมนุษย์ จากในเรื่องเมื่อเด็กคนหนึ่ง ( ชิฮิโร่ ) ได้เดินหลงเข้ามาในหนทางนี้แล้ว และเมื่อพ่อแม่ของเธอก็หลงเช่นกัน การคงความมีตัวตนไม่ให้ถูกกลืนหายไปในสังคมอาจทำได้ยาก ซึ่งชิฮิโร่ก็ต้องเรียนรู้ต่อไป

   เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องอยู่ในโลกของวิญญาณและเทพเจ้าต่อไป ชิฮิโร่จึงได้รับความช่วยเหลือจากฮากุ ให้เข้าไปหางานทำในโรงอาบน้ำ เพราะถ้าไม่มีงานทำร่างกายของเธอก็จะหายไปซึ่งอาจตีความได้ว่าถ้าไม่มีงานทำก็จะไม่สามารถอยู่ในสังคมได้ ระหว่างทางที่จะไปโรงอาบน้ำฮากุและชิฮิโร่ได้ผ่านคอกซึ่งมีหมูจำนวนมากมาย เป็นไปได้หรือไม่ว่าเคยมีคนหลงเข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว แต่ด้วยการบริโภคและความหลงใหลต่างๆ ทำให้พวกเขาได้กลายเป็นหมูไปเรียบร้อยแล้ว

   เมื่อถึงโรงอาบน้ำของเทพเจ้าฮากุได้สั่งให้เธอลงไปหา ลุงคามาจิซึ่งทำงานอยู่ที่โรงเผาถ่านเตรียมสมุนไพรบริเวณล่างสุดของโรงอาบน้ำ เมื่อชิฮิโร่ลงไปที่โรงเผาถ่านจึงพบว่าลุงคามาจิเป็นคนที่แขนหลายแขนมาก นั่งทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อย ลุงคามาจิอาจเป็นสัญลักษณ์ถึงคนที่ทำงานหนักแต่ไม่ได้รับการเหลี่ยวแลจากสังคม ทั้งๆที่งานที่ลุงคามาจิทำเป็นสิ่งสำคัญมากให้โรงอาบน้ำดำเนินต่อไปได้

   นอกจากลุงคามาจิแล้วที่โรงเผาถ่านและโรงเตรียมสมุนไพรยังมีตัวซุซุวาทาริจำนวนมากซึ่งมีลักษณะคล้ายฝุ่นตัวเล็กๆ หน้าที่ของซุซุวาทาริคือแบกถ่านขนาดใหญ่กว่าตัวมันหลายเท่าไปใส่ในโรงเผา มีฉากหนึ่งที่ซูซูวาทาริตัวหนึ่งแบกถ่านไม่ไหว เมื่อชิฮิโร่เห็นเธอจึงเข้าไปช่วยนำถ่านชิ้นนั้นใส่เตาเผาเอง และนี้คือการกระทำที่สอนให้ชิฮิโร่อยากช่วยเหลือคนอื่นและเมื่อเธอได้ช่วยซูซูวาทาริ พวกมันก็เป็นมิตรกับเธอในไม่ช้า

   เมื่อเธอได้ช่วยคนอื่นก็มีคนอื่นพร้อมจะช่วยเหลือเธอเช่นกัน เมื่อลินพนักงานสาวจับได้ว่าเธอเป็นมนุษย์ลุงคามาจิก็ปกป้องเธอ โดยบอกลินว่าเธอเป็นหลานนอกจากนั้นยังวานให้ลินพาเธอไปของานจากยูบาบะ แม่มดซึ่งปกครองโลกของวิญญาณอีกด้วย

   ลินได้พาชิฮิโร่ขึ้นไปยังส่วนบนสุดของโรงอาบน้ำเทพเจ้า เมื่อชิฮิโร่ไปถึงก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อห้องของแม่มดยูบาบะประดับตกแต่งไปด้วยเครื่องเรือนราคาแพงมากมาย ฉากนี้อาจทำให้เห็นถึงความเป็นทุนนิยมสุดโต่งของแม่มดบูบาบะผู้ปกครองโลกแห่งนี้

   เมื่อพิจารณาดูจากฉากเปิดเรื่องจนมาถึงกลางเรื่อง เราได้เห็นนิสัยของชิฮิโร่ที่เริ่มเปลี่ยนไปช้าๆ จากเด็กดื้นรั้นกลายเป็นเด็กที่เริ่มนึกถึงคนอื่นและกล้ามากขึ้น ฉากที่เธอได้ไปของานกับยูบาบะเธอก็มีความกล้าที่จะยอมตื้อของานจากแม่มดซึ่งดูมีอำนาจมากกว่าเธอในทุกๆ เรื่อง แต่เธอก็ของานจากยูบาบะได้สำเร็จ โดยมีข้อแม้ว่าเธอจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็น เซน เพื่อแลกกับการมีงานทำ การถูกริบชื่อของชิฮิโร่อาจตีความได้ว่าถูกริบตัวตนและความเป็นชิฮิโร่ไป ซึ่งในสังคมปัจจุบันมีคนหลายคนที่มัวแต่ทำงานและหลงไปในโลกแห่งทุนนิยมจนลืมตัวตนและคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง

   ตัวละครอีกหนึ่งตัวที่เริ่มมีบทในเรื่องคือ เบบี้ ลูกชายของยูบาบะซึ่งมีนิสัยเอาแต่ใจอีกทั้งยังตัวใหญ่กว่าเธอหลายเท่า ซึ่งในห้องของเบบี้นั้นเต็มไปด้วยของเล่นมากมายเท่าที่ยูบาบะจะหามาให้ได้ ความตัวใหญ่ของเบบี้อาจตีความได้ว่าการมีอำนาจต่อรองพ่อแม่ได้กล่าวคือพ่อแม่เลี้ยงอย่างตามใจ บูชาลูกมากเกินไปนั่นเอง และนิสัยเอาแต่ใจก้เป็นผลลัพท์มาจากการเลี้ยงแบบตามใจของเธอเอง

   นอกจากนี้ชิฮิโร่ยังได้เรียนรู้บุคลิกทั้งสองด้านของคนคือ ฮากุที่เป็นเพื่อนซึ่งคอยช่วยเหลือเธอกับฮากุที่เมื่ออยู่กับยูบาบะ ทำให้เธอถามคำถามว่า “ ฮากุมีสองคนเหรอ ” นี่อาจแสดงถึงตัวตนในใจของแต่ละคนซึ่งมีสองแง่มุมหรือสองด้านแม้จะเป็นคนเดียวกัน แต่เวลาและสถานที่ก็สามารถทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนเป็นอีกคนได้ 
ซึ่งชิฮิโร่ก็ต้องเรียนรู้อีกเช่นกัน 

   นิสัยที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของชิฮิโร่เป็นไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีตอนหนึ่งที่เธอเธอผ่านไร้หน้า (No Face) บนสะพานทางเข้าโรงอาบน้ำ เธอได้เดินก้มหลังเมื่อเดินผ่านไร้หน้า ชิฮิโร่ได้ไปตามที่ฮากุนัดเอาไว้คือพาไปดูพ่อและแม่ของเธอซึ่งกลายเป็นหมู เมื่อเธอพบพ่อแม่ของเธอ เธอก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอวิ่งไปนั่งร้องไห้ตรงหน้าลานบริเวณนั้น

   การร้องไห้ในครั้งนี้ไม่มีใครคอยปลอบเธอ มีเพียงฮากุที่ยื่นข้าวปั้นให้เธอกินพร้อมบอกว่า “ กินเสีย
จะได้มีแรงสู้ต่อไป” ชิฮิโร่เกือบจะลืมชื่อตัวเองไปแล้วแต่ฮากุทำการ์ดอำลาของเธอมาให้ ทำให้เธอจำชื่อตัวเองได้ และย้ำว่าเธอจะต้องไม่ลืมว่าต้องกลับบ้าน ไม่อยากนั้นเธอจะต้องติดอยู่ที่นี้ไปตลอด ฉากนี้ทำให้รู้ว่าเมื่อมีปัญหาสามารถร้องไห้ได้ ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง การร้องไห้คือการระบายความรู้สึกของชิฮิโร่ ความท้อแท้ แต่ในที่สุดเมื่อเธอหยุดร้องเธอก็ต้องลุกขึ้นกลับเข้าไปในทำงานโรงอาบน้ำเทพเจ้าเพื่อเรียนรู้ชีวิตเพื่อคงความเป็นตัวตนและเอาตัวให้รอดต่อไป

  เมื่อเธอเข้าไปในโรงอาบน้ำ เธอก็ถูกใช้ให้ทำงานต่างๆ เช่น ถูพื้น ทำความสะอาดบ่อน้ำที่สกปรก หรือแม้แต่อาบน้ำให้กับเทพเจ้าแห่งสายน้ำที่โดนขยะทับถมจนเหม็นเน่าซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ชิฮิโร่ท้อแท้หรือล้มเลิกที่จะทำงาน 

   หลังจากที่ชิฮิโร่ได้ช่วยเทพเจ้าแห่งสายน้ำจนสะอาดแล้ว ก็มีทองมากมายหล่นออกมาจากขยะในตัวของเทพเจ้าสายน้ำ นอกจากนั้นเทพเจ้าสายน้ำยังมอบยาวิเศษให้เธออีกด้วย

   ไร้หน้าเริ่มมีบทบาทขึ้นเมื่อหยิบยื่นทองจำนวนหนึ่งในกบซึ่งเป็นคนงานของโรงอาบน้ำ เจ้ากบต้องการทองอย่างมากจึงทำให้โดนไร้หน้าจับกินเข้าไปและไร้หน้าก็เริ่มมีลักษณะคล้ายกบที่มันกินเข้าไป  การกระทำของไร้หน้ากับกบอาจตีความได้ว่า เมื่อผู้ใดหลงในเงินทองซึ่งอยู่ในระบบทุนนิยมนั้นอาจจะถูกกลื่นตัวตนเข้าไปได้โดยง่าย ถ้าจะมองอีกมุมหนึ่งอาจตีความได้ว่าไร้หน้าอาจจะคนที่ไร้ซึ่งตัวตนและต้องการมีตัวตนเป็นของตนเองจึงใช้สิ่งมีค่าเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนและเมื่อผู้ใดหลงไปกับสิ่งฟุ้มเฟื่อยเหล่านั้นก็จะตกอยู่ใต้อำนาจได้โดยง่าย

   ฉากหนึ่งที่มังกรขาวซึ่งนั่นคือฮากุได้ไปขโมยสัญลักษณ์บางอย่างจากเซนิบะพี่สาวของยูบาบะ ฮากุก็ถูกไล่ตามโดนมีดกระดาษจนได้รับบาดเจ็บ ชิฮิโร่ได้แบ่งยาที่ได้จากเทพเจ้าซึ่งตอนแรกเธอหวังว่าจะนำไปให้พ่อแม่เธอกินเพื่อที่จะกลับเป็นคนอีกครั้งให้ฮากุกิน จากกระทำของชิฮิโร่ในนั้นครั้งเห็นได้ว่าเธอคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น โดยที่สละบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัวเพื่อให้คนที่มีความจำเป็นมากกว่า

   นอกจากเธอจะสละยาวิเศษให้ฮากุเธอยังสละยาที่เหลือให้ไร้หน้าอีกด้วย ฉากที่ไร้หน้ากินคนงานในโรงงานอาบน้ำมากมายและเรียกหาอยากพบเซน (ชิฮิโร่) เมื่อเธอเดินทางไปในโรงอาบน้ำเพื่อช่วยฮากุ ในระหว่างทางเธอเจอกับไร้หน้าซึ่งยื่นทองให้เธอมากมาย แต่ชิฮิโร่กลับไม่สนใจพร้อมทั้งกล่าวว่าเธอกำลังรีบไปช่วยคนอยู่

   คำพูดและการกระทำของเธอแสดงให้เห็นว่า การเรียนรู้ของเธอในโรงอาบน้ำนืทำให้เธอรู้ว่าเงินทองไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธอเลย โดยเฉพาะเวลาที่ต้องไปช่วยเหลือคนอื่นเช่นนี้และเมื่อเธอถูกตามตัวให้มาพบกลับไร้หน้าอีกครั้งไร้หน้าถามเธอต้องการอะไรแต่ชิฮิโร่ไม่สนใจที่จะตอบคำถามที่เกี่ยวกับความปรารถนาหรือความอยากได้อยากมีแต่เธอเพียงแค่ถามว่าไร้หม้ามาจากไหน มีครอบครัวหรือเปล่าอีกทั้งเธอยังให้ไร้หน้ากินยาวิเศษโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน เพียงแค่อยากให้ไร้หน้ามีสภาพที่กว่าที่มันเป็นอยู่ในขณะนี้

   เมื่อไร้หน้าได้กินยาวิเศษแล้วก็กลับกลายเป็นไร้หน้าตัวเดิมและติดตามชิฮิโร่เดินทางไปหาเซนิบะเพื่อขอให้ช่วยล้างคำสาปของฮากุและเบบี้ลูกของยูบาบะที่ถูกสาปเป็นหนูตัวอ้วน ก่อนเดินทางนั่นลินได้บอกกับเธอว่าขอถอนคำพูดที่ว่าชิฮิโร่เป็นเด็กซุ่มซ่าม จากคำพูดของลินทำให้เราเห็นถึงการเติบโตและเปลี่ยนผ่านของชิอิโร่ว่าได้เปลี่ยนไปมากระหว่างตอนนี้กับก่อนเข้ามาในโลกแห่งวิญญาณและเทพเจ้า

   บนรถไฟที่เธอขึ้นมาเธอได้พบกับผู้คนมากมายซึ่งดูเหมือนจะไร้ตัวตนคือไม่มีหน้าเป็นแค่เพียงเงาดำๆ อีกทั้งเด็กผู้หญิงไร้ตัวตนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ชานชาลา ฉากนี้อาจตีความเกี่ยวกับระบบทุนนิยมได้ว่าผู้คนมากมายต่างดำรงชีวิตอยู่อย่างไร้ตัวตน ไม่รู้คุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง เพียงแค่มีชีวิตมีเลือดมีเนื้อแต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ

   สถานีที่เธอเดินทางไปหาเซนิบะคือสถานีก้นบึ่ง เมื่อเธอไปถึงก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งหนึ่งที่สถานีก้นบึงนั่นเป็นชนบทที่ดูห่างไกลความเจริญและแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ หากจะตีความถึงชื่อสถานีกับลักษณะของสถานีนั้นอาจตีความได้ว่า ธรรมชาติ ความเป็นชนบท การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเรียบง่ายนั้น คือ ก้นบึง ลึกๆในจิตใจที่ทุกคนล้วนแต่ใฝ่ฝันถึง ในขณะที่ระบบทุนนิยมเข้ามาปิดบังความรู้สึกแท้จริงนั้นไว้ให้หลงใหลไปกับความเจริญ วัตถุ และการบริโภคที่ไม่มีที่สิ้นสุด

   ทางเดินไปสู่บ้านของเซนิบะนั้นต้องเดินทางเข้าไป นกของยูบาบะที่ถูกสาปให้แมลงหมดแรงที่จะออกแรงบินอุ้มเบบี้ที่กลายเป็นหมูตัวอ้วนแล้ว หนูอ้วน( เบบี้) จึงต้องเดินด้วยขาของตัวเองถึงแม้ชิฮิโร่อาสาจะช่วยอุ้มก็ตามแต่เบบี้ก็ยืนกรานที่จะเดินด้วยตัวเอง การกระทำที่เบบี้ทำจะเห็นว่าเบบี้ได้โตขึ้นมาในระดับหนึ่งคือเห็นใจผู้อื่นที่ออกแรงเพื่อตัวเองอีกทั้งอยากทำอะไรด้วยตัวเองบ้างแทนที่จะรอแต่ให้คนอื่นช่วยหรือหามาให้

   การที่ชิฮิโร่ได้เดินทางมาหาเซนิบะในครั้งนี้ การที่เธอได้เห็นการใช้ชีวิตที่แท้จริง ไม่ต้องหลงใหลไปกับเงินทอง และเห็นว่ามีชีวิตที่เรียบง่ายก็มีความสุขดี อาจทำให้รู้ซึ้งคุณค่าแท้จริงในการดำเนินชีวิตต่อไป มาถึงตอนนี้ชิฮิโร่เปลี่ยนจากชิฮิโร่คนเดิมมาก เซนิบะเห็นความดีงามของชิฮิโร่และกล่าวกับเธอว่า “ ชิฮิโร่ ดูแลให้ดีนะ เพราะชื่อนี้มันเป็นของเจ้า ” ชื่อที่เซนิบะบอกให้ชิฮิโร่เก็บไว้ให้ดีๆ ไม่ใช่เป็นเพียงชื่อที่เป็นตัวอักษร แต่คือตัวตนการกระทำ ความเป็นตัวตนที่แท้ ที่กลั่นออกมาเป็นชิฮิโร่ที่เป็นอยู่ต่างหาก ที่เซนิบะอยากให้เธอเก็บไว้ให้คงอยู่ตลอดไป 
   ไร้หน้าซึ่งตอนนี้มีหน้าที่และมีที่อยู่แล้วจึงเป็นไร้หน้าคนใหม่ ไร้หน้าที่มีคุณค่า ไร้หน้าที่หน้าที่ให้การช่วยเซนิบะต่อไป ไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดายอีก นอกจากเธอจะเติบโตขึ้นแล้วเธอยังช่วยให้เบบี้ ฮากุ ไร้หน้า ให้เติบโตไปกับเธอด้วย เธอทำให้ฮากุจำชื่อได้และรู้ว่าตัวเองเคยเป็นเทพเจ้าแห่งสายน้ำ เบบี้ที่เคยเอาแต่ใจก็รู้เรื่องขึ้น เลิกงอแงและใช้กำลังของตัวเองในการกลับร่างเป็นเด็กอีกครั้ง

   และในตอนจบยูบาบะได้ให้สัญญาไว้ว่าจะปล่อยให้ชิฮิโร่กลับว่าถ้าทายถูกว่าหมูตัวไหนคือพ่อแม่ของเธอ ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีพ่อแม่ของเธอรวมอยู่ในหมูเหล่านั้น เพียงเธอกวาดสายตาแค่เพียงไม่นานเธอก็ตอบได้ว่าไม่มีพ่อกับแม่อยู่ในหมู่เหล่านี้ ยูบาบะจึงจำต้องปล่อยเธอกลับไปสู่โลกของเธอ คำตอบของชิฮิโร่อาจตีความได้ว่า เมื่อเธอได้รู้คุณค่าของความเป็นมนุษย์แล้ว เธอจึงรู้ว่าพ่อและแม่เธอคงไม่ใช่หมูเหล่านี้แน่นอน เพราะพ่อกับแม่ก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเธอ

   ถึงแม้ว่าฮากุจะสัญญาว่าจะเจอกับชิฮิโร่อีก แต่ก็เป็นเพียงเธอและพ่อแม่เท่านั้นที่ได้ออกมาจากโลกแห่งวิญญาณ เมื่อชิฮิโร่ออกมาจากอุโมงค์ก็พบว่าทุกอย่างกลับกลายเป็นเหมือนเดิมแล้ว อุโมงค์ที่เคยสวยงามโบราณบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อย ฉากนี้อาจตีความได้ว่าการเรียนรู้ของเธอนั้น มีเธอเพียงคนเดียวที่จะต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ประสบการณ์ในโลกแห่งวิญญาณนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เธอได้เรียนรู้แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องกลับออกมาเพื่อเผชิญกับชีวิตจริงต่อไปด้วยตัวของเธอเอง สิ่งที่เธอได้มานั่นไม่ใช่ความฝันเพราะยางรัดผมที่เซนิบะให้เธอยังคงส่องประกอบอยู่ที่ผม 
   สังคมที่เปลี่ยนจากความเรียบง่ายมาสู่ความซับซ้อนในปัจจุบันทำให้คนจำนวนมากหลงไปกับสิ่งเร้าเหล่านั้น ระบบทุนนิยมทำให้หลายคนเสียตัวตนและลืมคุณค่าของตัวเองไป Spirited away เป็นอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งที่ย้ำเตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญในข้อนี้ วิญญาณหายไป อาจไม่ได้มีความหมายแค่วิญญาณ แต่อาจมีนัยถึงจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ในปัจจุบันซึ่งกำลังเลือนหายไปเพราะระบบทุนนิยมก็เป็นได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น