เด็ก ผู้ใหญ่และความเข้าใจในความลับของเลนเชน
บทความ โดย สมิทธิ อินทร์พิทักษ์
ผู้ใหญ่กับเด็กมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนนอกจากความแตกต่างทางด้านร่างกาย เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ “ตัวเล็ก” ดังนั้น ความนึกคิดภายในจิตใจ ประสบการณ์ ธรรมชาติและความต้องการของเด็กจึงแตกต่างไปจากผู้ใหญ่ทั่วไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเด็กและผู้ใหญ่มีความแตกต่างกันเช่นนี้จึงมักเกิดความขัดแย้งกันอยู่เสมอ จากเรื่องสั้น ความลับของเลนเชน (Lenchens Geheimnis ) ในหนังสือเรื่อง โรงเรียนคาถาวิเศษ ( Die Zauberschule Und Andere Geschichten ) แต่งโดย มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ ได้นำเสนอเรื่องราวของ เลนเชน ซึ่งเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งเริ่มหัดอ่านหนังสือ ได้เดินทางไปตามหาแม่มดเพื่อใช้คาถาช่วยเธอจัดการกับพ่อแม่ที่มักขัดใจเธอเป็นประจำและการเดินทางตามหาแม่มดของเธอในครั้งนี้เอง ทำให้เธอและพ่อแม่เข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น เริ่มเรื่องด้วยการบรรยายถึงลักษณะของเลนเชนว่า
“เลนเชนเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
คนหนึ่งปกติแล้วเธอเป็นเด็กที่น่ารัก
หรืออย่างน้อยตราบเท่าที่พ่อกับแม่ของเธอ
ทำตัวมีเหตุผลและยอมทำตามที่เธอต้องการ”
(มิฆาเอ็ล เอ็นเด้, ความลับของเลนเชน : โรงเรียนคาถาวิเศษ, หน้า 56 )
จากข้อความที่ยกมานี้ทำให้เรารู้ว่าเลนเชนจะทำตัวน่ารักเมื่อพ่อแม่ทำตามสิ่งที่เธอต้องการ ซึ่งความต้องการของเธอและพ่อแม่นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะตรงกันเสมอไปและแน่นอนความต้องการของเธอนั่นบ่อยครั้งที่ตรงข้ามกับพ่อแม่จากเนื้อเรื่องตอนที่เธอคุยกับพ่อและแม่ว่า
เมื่อใดที่แม่หนูน้อยบอกกับพ่อของเธอว่า
“พ่อขอสักห้ามาร์กสิ
หนูจะเอาไปซื้อไอติมกินให้จุใจเลย !”
พ่อของเธอจะตอบว่า “พอได้แล้ว
ลูกกินไอติมไปตั้งสามแท่งแล้ว
กินไอติมมากๆเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”
หรือเวลาที่เลนเชนพูดกับแม่อย่างประจบประแจงว่า
“แม่คะขัดรองเท้าให้หนูหน่อยสิ!”
แม่ของเธอจะตอบว่า
“ทำเองสิจ๊ะ ลูกน่ะโตพอที่จะทำอะไรๆ ได้เองแล้ว”
(มิฆาเอ็ล เอ็นเด้, ความลับของเลนเชน : โรงเรียนคาถาวิเศษ, หน้า 56 )
จากเนื้อเรื่องที่ยกมานี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เลนเชนต้องการซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่พ่อแม่ตอบสนองต่อเธอนั้น ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ขัดใจเธอโดยไม่มีเหตุผล การที่เลนเชนขอเงินพ่อไปซื้อไอติมแล้วไม่ได้นั้น ไม่ใช่เพราะว่าพ่อต้องการขัดใจเธอ แต่พ่อกลัวว่าเธอจะปวดท้องเพราะกินไปแล้วตั้งสามแท่ง ซึ่งเธออาจไม่เข้าใจความหวังดีของพ่อ หรือถ้ามองในอีกมุมหนึ่งการที่พ่อตามใจเธอโดยให้เธอกินไอติมไปก่อนหน้านี้แล้วตั้งสามแท่ง
แต่เมื่อเธอขออีกพ่อกลับปฏิเสธด้วย สาเหตุนี้เองเธอจึงอาจคิดว่าพ่อไม่มีเหตุผล
เอาเสียเลย เรื่องที่เธอขอให้แม่ขัดรองเท้าให้ก็เช่นกัน การที่แม่ไม่ยอมขัดรองรองเท้าให้เธอเพราะว่าเธอโตพอที่จะทำเองได้แล้ว แต่เลนเชนอาจไม่เข้าใจถึงหน้าที่ที่มาพร้อมกับการเติบโตของเธอ เมื่อเธอยังเป็นเด็กแม่อาจจะขัดรองเท้าให้ แต่เมื่อเธอโตขึ้นเธออาจจะคิดว่าแม่ก็ยังต้องขัดให้เธอเหมือนเดิมและพอแม่ไม่ทำให้ในความคิดของเธอ
ความหวังดีของแม่อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำที่ขัดใจเธอก็เป็นได้
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอต้องเดินทางออกตามหาแม่มดเพื่อจัดการกับเรื่องขัดใจของพ่อแม่คือ เรื่องที่เธอตัดสินใจว่าปิดเทอมนี้เธอจะไปเที่ยวทะเล แต่พ่อแม่กลับตอบเธอว่า พ่อกับแม่ตั้งใจจะไปเที่ยวภูเขาความไม่ลงตัวกันครั้งนี้ถือว่าไม่มีเหตุผลสำหรับเธอ
ในเมื่อพ่อแม่ไม่มีข้อสนับสนุนในการไปเที่ยวภูเขาแทนที่จะไปทะเลตามที่เลนเชนตั้งใจไว้
เมื่อเธอเริ่มออกเดินทางเธอก็ได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจในการตามหาแม่มดโดยตำรวจได้บอกเธอให้ไปที่ถนนสายฝน เลขที่ 13 ห้องใต้หลังคาซึ่งเป็นที่อยู่ของแม่มด ฟรานซิสกา เครื่องหมายคำถาม ซึ่งรับปรึกษาปัญหาชีวิต เลนเชนก็ได้เดินทางไปตามนั้นและเมื่อถึงบ้านเลขที่ 13 เธอก็ได้พบว่าบ้านเลขที่ 13 เป็นบ้านที่มีเพียงบันไดเพียงอย่างเดียว ไม่มีเสาหรือคานและทอดยาวไปถึงห้าชั้นซึ่งบันไดนั้นไปหยุดอยู่ที่ประตูห้องใต้หลังคา เมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าหลังประตูนั้นเป็นทะเลสีฟ้าสดใส มีเรือให้เธอพายไปยังเกาะข้างหน้า เมื่อเธอขึ้นเรือไปเธอแทบไม่ออกแรงพายด้วยซ้ำและเมื่อเธอไปถึงเกาะแห่งนั้นเพียงชั่วครู่เกาะก็กลายเป็นห้องซึ่งปูด้วยพรมเอาไว้และที่นั่นเองที่เธอได้พบกับแม่มดฟรานซิสกาเธอได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ให้ฟังและยังกล่าวถึงปัญหาของเธอว่า
“ปัญหาก็คือพวกเขามีจำนวนมากกว่าหนู”
เลนเชนเล่าต่อ”พ่อแม่มักจะเออออกันอยู่สองคน หนูก็เลยเหลือตัวคนเดียว”
“แถมทั้งสองคนนั้นยังตัวใหญ่กว่าหนูอีก”
(มิฆาเอ็ล เอ็นเด้, ความลับของเลนเชน : โรงเรียนคาถาวิเศษ, หน้า 62 )
จากเนื้อเรื่องแสดงให้เห็นปัญหาของเธอสองอย่างคือ พ่อแม่มีจำนวนมากกว่าเธอและพ่อแม่ตัวใหญ่กว่าเธอ ปัญหาของเธอนั้นไม่ใช่เป็นเพียงปัญหาของเธอคนเดียวแต่เป็นปัญหาของเด็กหลายคนเมื่อมีเรื่องขัดแย้งกับพ่อแม่และไม่มีคนเข้าข้างมิหนำซ้ำพ่อและแม่ยังจะเข้าข้างกันอีก การที่พ่อแม่ตัวใหญ่กว่าก็เช่นกันเมื่อมีปัญหากันเด็กจะเห็นว่าความตัวใหญ่ของพ่อแม่นี้คือการคุกคามหรือมีอำนาจเหนือกว่าเธอ
แม่มดฟรานซิสกาตัดสินใจมอบน้ำตาลวิเศษให้เลนเชนสองก้อนเพื่อให้พ่อกับแม่กินและเมื่อใดที่พ่อกับแม่ขัดใจเธอ พ่อแม่ก็จะตัวเล็กลงครึ่งหนึ่งทุกครั้งไป โดยแม่มดมีข้อเสนอว่าครั้งนี้จะช่วยเหลือฟรีโดยไม่มีคิดค่าตอบแทนแต่ครั้งต่อไปจะคิดค่าตอบแทนที่แพงทีเดียว เลนเชนรับข้อเสนอนั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง “ฟลุบ!”และเลนเชนก็กลับมายืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในบ้าน เลนเชนนำน้ำตาลให้พ่อและแม่กินจนสำเร็จ และแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อพ่อเธอต้องการจะดูข่าวแต่เลนเชนอยากดูการ์ตูน ความขัดแย้งนี้เองทำให้พ่อของเธอตัวเล็กลงครึ่งหนึ่ง แม่ของเธอก็ตัวเล็กลงเช่นกันเนื่องจากแม่ต้องการไปตามหมอมาดูอาการที่พ่อตัวเล็กลงแต่เลนเชนไม่ต้องการให้ตามหมอมาจากนั้นก็มีเรื่องขัดใจกันอีกหลายเรื่องจนพ่อกับแม่เธอตัวเล็กลงเหลือเพียง 10 และ 11 เซนติเมตรเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นเธอต้องหาข้าวเช้ากินเองเพราะพ่อแม่ตัวเล็กเกินไปที่จะจัดแจงหาอาหารมาให้เธอกินเหมือนแต่ก่อน เมื่อเธอกลับมาจากโรงเรียน เลนเชนต้องการหาอาหารกินเธอจึงเปิดปลากระป๋อง แต่ว่าเกิดพลาดโดนปากกระป๋องบาด จากตอนนี้เองทำให้เห็นความรักของพ่อแม่ที่แม้เลนเชนจะทำกับพ่อแม่จนตัวเล็กลงมาก แต่พ่อแม่ก็ยังเป็นห่วงเธอจากที่เนื้อเรื่องบรรยายไว้ว่า
“เลนเชนพยายามจะเปิดปลากระป๋องกินเป็นอาหารกลางวัน
แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยในที่สุดเธอก็พลาดโดนปลากระป๋อง บาดเข้านิ้วจนเลือดไหลเธอเอาแต่ร้องไห้แล้วก็วิ่งตะโกนว่า
“พ่อ! แม่!” ไปมาอยู่ในห้อง เธอกลัวว่าเลือดจะไหลออกจากแผลไม่หยุด
ในที่สุดแม่ก็ค่อยๆเดินออกมาจากที่ซ่อนตัวหลังชั้นวางหนังสือ
พ่อก็เดินตามออกมาด้วยโดยเว้นระยะห่างพอสมควร
ทั้งสองคนทนได้ยินเสียงลูกสาวของตัวเองร้องไห้ไม่ได้
“เจ็บมากมั้ยลูก” แม่ถาม
(มิฆาเอ็ล เอ็นเด้, ความลับของเลนเชน : โรงเรียนคาถาวิเศษ, หน้า 75 )
เรื่องราวดำเนินต่อไปโดยเกิดปัญหาต่างๆ มากมายเมื่อพ่อและแม่ของเธอตัวเล็กลง เช่น พ่อแม่ของเธอเกือบโดนแมวของมักซ์ซึ่งเป็นเพื่อนของเลนเชนทำร้าย ทำให้เลนเชนตัดสินใจเดินทางไปหาแม่มดฟรานซิสกาอีกครั้งเพื่อแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ปรากฏว่าที่อยู่ของแม่มดเปลี่ยนไป อีกทั้งหนทางไปสู่แม่มดยังเปลี่ยนไปอีกด้วยจากเนื้อเรื่องที่บรรยายไว้ว่า
“ทะเลสาบที่เธอเคยเห็นเมื่อคราวที่มาหาแม่มดครั้งแรกก็ยังอยู่เหมือนเดิม ต่างกันแต่ว่าคราวนี้มันกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้วเจ้าเรือลำน้อยก็ยังอยู่ แต่ว่ามันโดนพื้นน้ำแข็งยึดเอาไว้จนแน่นที่นี่คงกำลังอยู่ในช่วงฤดูหนาว ดังนั้นทุกแห่งจึงมองเห็นแต่หิมะขาวโพลน ด้วยเหตุนี้เลนเชนจึงต้องเดิน ไปที่เกาะด้วยตัวเอง ซึ่งระยะทางมันก็ไกลโขอยู่ ที่ยากกว่านั้นก็คือเธอต้องเดิน แต่ละก้าวด้วยความระมัดระวังไม่ใช่เพียงเพราะเธอกลัวลื่น เท่านั้น แต่เพราะเธอ
ไม่มั่นใจว่าน้ำแข็งจะแข็งเท่ากันทุกที่และมันจะทานน้ำหนักเธอได้หรือเปล่า
บางครั้งเสียงของพื้นน้ำแข็งฟังดูน่ากลัวคล้ายกับจะแตกออกจากกัน”
(มิฆาเอ็ล เอ็นเด้, ความลับของเลนเชน : โรงเรียนคาถาวิเศษ, หน้า 90 )
จะเห็นว่าครั้งแรกที่เธอไปหาแม่มดนั้นสุดแสนจะสบายแต่เมื่อเธอรู้ว่าการที่เธอทำกับพ่อแม่ตามที่เธอขอความช่วยเหลือจากแม่มดครั้งก่อนนั้นไม่ถูกต้อง การที่จะแก้ไขในสิ่งที่เธอทำตามใจตัวเองในครั้งนี้ต้องแลกด้วยความลำบากให้สมกับที่เธอเคยเลือกเดินผิดทางไป
เมื่อพบกับแม่มด แม่มดก็ยื่นข้อเสนอให้คือเธอต้องเป็นคนกินน้ำตาลวิเศษที่ทำให้ตัวหดเล็กลงไปแทน และเมื่อเธอขัดใจพ่อแม่ เธอก็ต้องตัวหดเล็กลงอย่างเช่นที่พ่อแม่ของเธอเคยเป็น ถึงอย่างไรก็ตามแม่มดฟรานซิสกาก็เคารพการตัดสินใจของเธอโดยพูดกับเธอว่า
“ฉันไม่ได้อยากจะให้เธอทำตามที่ฉันบอกนะ”
แม่มดยืนยันหนักแน่น“เธอต้องตัดสินใจเอง
เธอต้องเลือกทำในสิ่งที่เธอคิดว่ามันถูกต้อง
ที่ฉันพูดไปทั้งหมดก็เพราะต้องการบอกให้เธอรู้ว่า
ผลของมันจะเป็นยังไงเท่านั้นเองเธอเข้าใจมั้ย”
(มิฆาเอ็ล เอ็นเด้, ความลับของเลนเชน : โรงเรียนคาถาวิเศษ, หน้า 92 )
นี้แสดงถึงการให้ตัวเลือกแก่เลนเชนซึ่งเป็นการกระทำที่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก ในที่สุดเลนเชนก็เลือกที่จะกินน้ำตาลแทนพ่อแม่ เมื่อเวลาย้อนกลับไปเธอจึงเป็นคนกินน้ำตาลเข้าไปเองและเธอก็พยายามที่จะทำตามที่พ่อแม่สั่งทุกอย่างจนพ่อแม่ของเธอผิดสังเกตจึงถามว่า
“มันต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่ง” แม่พูด
“อะไรสักอย่างที่ทำให้ลูกเปลี่ยนไปขนาดนี้ลูกดูแปลกไปมาก
จนไม่เหมือนกับเลนเชนคนเดิมเลย”
“เด็กทั่วๆ ไปต้องดื้อบ้างเป็นบางครั้ง”พ่อพูดต่อ
“นี่ลูกไม่มีความเป็นตัวของตัวเองแล้วเหรอ”“ไม่มีค่ะพ่อ”
“พ่อกับแม่กังวลเรื่องของลูกมากนะ”แม่บ่น
“พ่อกับแม่อยากให้ลูกดื้อบ้าง อยากให้เถียงพ่อแม่บ้าง
พ่อกับแม่จะได้สบายใจว่าลูกไม่มีอะไรผิดปกติ แม่ขอแค่นี้ได้มั้ย”
(มิฆาเอ็ล เอ็นเด้, ความลับของเลนเชน : โรงเรียนคาถาวิเศษ, หน้า 96 )
จากคำพูดของพ่อแม่นี้เองทำให้เห็นว่าธรรมชาติของเด็กต้องดื้อบ้างเป็นธรรมดา เป็นการสอนพ่อแม่ไปในตัวว่าตามปกติแล้วเด็กต้องมีเถียงพ่อแม่บ้างเป็นครั้งคราว
เมื่อเลนเชนทำตัวเรียบร้อยและเชื่อฟังไปเสียทุกอย่างพ่อแม่จึงรู้สึกไม่สบายใจ
ในที่สุดเมื่อเลนเชนเล่าความจริงทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็เห็นใจเธอเป็นอย่างมาก ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เลนเชนได้เรียนรู้ถึงบทเรียนที่เธอทำกับพ่อแม่ ในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ได้เรียนรู้ความรู้สึกของลูกที่ต้องตัวเล็กและธรรมชาติต่างๆของเด็กมากขึ้น
เป็นไปได้ยากทีเดียวที่จะไม่ให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กเพราะพื้นฐานประสบการณ์ มุมมอง ความต้องการระหว่างสองวัยนี้มีความแตกต่างกันมาก แต่ถ้าหมั่นเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจกัน เพียงเท่านี้ความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นก็คงลดน้อยลงเป็นแน่ สุดท้ายแทบไม่มีวิธีใดเลยที่จะลดความขัดแย้งกันนอกจาก “ เข้าใจเขา เข้าใจเรา” ไม่ใช่เป็นเพียงหลักที่จะใช้ได้ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ไม่ว่าวัยใด ถ้าหัดเข้าใจกัน ย่อมไม่เกิดความขัดแย้งอย่างแน่นอน
-->
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น